[fuse. Review] – The Diary (ซารีน่า ม่วงดี)

Best Director Nominees ระดับอุดมศึกษาหรือเทียบเท่า fuse. KIDS Film Festival 2023

*มีการเปิดเผยเนื้อหาและตอนสำคัญ

“สวัสดีครับ ผมชื่อก้อนเมฆ คุณพ่อคือท้องฟ้า คุณแม่คือพระอาทิตย์ดวงน้อย ต่อไปนี้คือเรื่องราวทีผมจะเล่าให้ทุกคนฟังผ่านไดอารี่เล่มนี้” เสียงใส ๆ ของเด็กชายวัยไม่เกิน 7 ขวบ เปิดเรื่องของหนังสั้นที่ดูอบอุ่น แต่ก็พอจับได้ว่าคงจบเศร้าอย่างแน่นอน ด้วยการใช้ภาพ Film Damage ในฉากที่พ่อแม่ลูกถ่ายภาพด้วยกัน หนำซ้ำยังรู้สึกได้ถึงบรรยากาศแห่งความเหงาที่ค่อย ๆ ครอบคลุมเข้ามา

“วันนี้ท้องฟ้าสดใสจัง” พ่อยิ้มชื่นบอกลูกชาย ทั้ง ๆ ที่บรรยากาศบนจอมันหม่นเศร้า

หนังเล่าถึงพ่อแม่ในวัยทำงานที่มีลูกชายคนเดียวเป็นศูนย์รวมความรัก เป็นครอบครัวในอุดมคติของใคร ๆ ที่มีทั้งพ่อและแม่ที่มีทั้งความรักความเอาใจใส่ โดยเฉพาะคนเป็นพ่อที่น่าจะเป็นคุณพ่อในฝันของทุกคน เป็นเหมือนเพื่อนรุ่นพี่ที่สนิทสนมและน่านับถือที่ให้ทั้งความรักและความรอบรู้สารพัด

เด็กที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพ่อจะมีพัฒนาการด้านความรู้ความคิดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในส่วนของพ่อเองก็จะบังเกิดความรักความผูกพันและภาคภูมิใจ (จากงานศึกษาของ Furstenberg ปี 1976 )

แต่แล้วก็เหมือนฟ้าลิขิตที่ไม่อยากให้อะไรสมบูรณ์แบบเกินไป

“ช่วงหลังมานี้พ่อนอนพักผ่อนเยอะมาก พ่อผอมลงมากเหมือนไม่สบาย เดี๋ยวนี้ก้อนเมฆต้องเล่นคนเดียวไม่สนุกเลย”

สิ่งที่น่าชมเชยสำหรับหนังสั้นเรื่องนี้ก็คือ การเล่าจากสายตาและความรู้สึกของเด็กชายวัย 7 ขวบ ซึ่งเป็นช่วงวัยเด็กตอนกลาง (Middle Childhood) อันเป็นช่วงท้าย ๆ แล้วที่ยังเกาะพ่อแม่แจ เพราะทั้งสองคือทุกสิ่ง ก่อนที่เขาจะเริ่มอยากจะใช้ชีวิตกับเพื่อน ๆ มากกว่าในวัยถัดจากนั้น

ซึ่งก้อนเมฆโชคดีเหลือเกินที่พ่อและแม่ต่างมีความเข้าอกเข้าใจกระทั่งลูกชายคนเดียวน่าจะผ่านพ้นวิกฤตในช่วงนี้ของชีวิตไปได้ด้วยดี เช่นที่อาทิตย์ดวงน้อยของเขา(แม่)เข็มแข็งและพยายามให้ลูกเตรียมรับมือกับ “ความสูญเสียครั้งใหญ่”

“เจ้าปลาทองบับเบิ้ลมันป่วย อีกไม่นานมันก็จะจากเราไป ก็เหมือนคนเราทุกคนวันนึงก็ต้องกลับไปสู่ธรรมชาติ” การพยายามปฎิเสธหรือปกปิดเรื่องของความเจ็บความตายหรือความสูญเสียต่าง ๆ ด้วยถือว่ามันเป็นอัปมงคลเป็นลางร้าย หรือเป็นเรื่องน่ากลัวเกินกว่าเด็ก ๆ จะรับได้นั้น ล้วนเป็นความเข้าใจผิดและยังจะส่งผลเสียต่อจิตใจของเด็ก ๆ อีกด้วย

หากพ่อแม่ค่อย ๆ คุยกับลูกด้วยความผ่อนคลาย (ไม่ใช่เศร้าโศก) ว่าการเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดาธรรมชาติของทุกชีวิต โดยเฉพาะเรื่องความตายเป็นเรื่องของการ “ไปไม่กลับ” จะเหลือไว้ให้เราก็เพียงความทรงจำ เพื่อให้เป็นขวัญและกำลังใจให้เราได้รำลึกถึง

ยิ่งเด็กวัย 4 – 7 ขวบคือวัยแห่งจินตนาการ (Fantasy) “ผมกับพ่อเป็นลูกโป่ง ลอยไปบนท้องฟ้า” “ผมจะเป็นนักบิน คุณพ่อเป็นคนสร้างเครื่องบินให้ผม ผมจะขับเครื่องบินกระดาษที่พ่อสร้างให้” แถมเขายังมีแนวโน้มที่มักคิดว่าตนเองเป็นสาเหตุของการเกิดสิ่งที่ไม่ดีต่าง ๆ (Egocentric) ดังนั้นถ้าผู้ใหญ่เอาแต่อ้อมค้อมหรือปกปิด ลูกจะยิ่งสับสนและหวาดกลัวไปตามสารพัดจินตนาการของตนเอง ที่เด็กมักจะเชื่อมโยงความตายกับอำนาจลึกลับ เทวดา หรือภูตผี ฯลฯ

พ่อแม่จึงต้องค่อย ๆ ประคับประคองจิตใจ เพื่อให้ลูกมีภูมิคุ้มกันและยอมกับความเศร้าโศกจากการสูญเสียแล้วรับมือได้ในที่สุด (เหมือนการดำเนินเรื่องของหนังเรื่องนี้ที่ค่อย ๆ ประคับประคองคนดูด้วยความอ่อนโยน ก่อนจะพบกับความสูญเสียที่ไม่มีใครก็หลีกไม่พ้นในตอนท้ายเรื่อง ซึ่งเป็นอีกสิ่งที่ผมรู้สึกชื่นชมในหนังสั้นเรื่องนี้)

หนังปิดฉากด้วยหลายประโยคที่น่าตรึงใจ เช่น “แม้ในวันนี้คุณพ่อจะจากไปแล้ว แต่ท่านยังอยู่เคียงข้างผม เหมือนท้องฟ้าที่ยังคงโอบกอดผมเสมอ เหมือนแสงแดดที่ยังคงส่องแสงอยู่ตลอดไป”

แล้ววันหนึ่งข้างหน้าจากเด็กชายตัวน้อยในวันนี้ อาจเป็นหนุ่มใหญ่ที่สร้างฝันได้เป็นความจริง

“ผมเคยฝันไว้ว่าอนาคตผมจะพาพ่อแม่บินไปรอบโลก ..วันนี้ผมทำสำเร็จแล้วครับ”