[fuse. Review] – The Sound of Blooming Flowers เสียงดอกไม้บาน (Thungsong Homwtown)

BEST FILM AWARD ระดับประถมศึกษาหรือมัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า fuse. KIDS Film Festival 2023

*มีการเปิดเผยเนื้อหาและตอนสำคัญ

การก้าวข้ามความแตกต่างของกันและกันระหว่างมนุษย์ ด้วยพื้นฐานความคิดว่า มนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ ไม่ว่าจะมีรูปร่างหน้าตา ชาติพันธุ์ภาษา ความสามารถ ไปจนถึงความพิการทางกายภาพอย่างไร ก็ล้วนเป็นมนุษย์เท่าเทียมกันนั้น เป็นสิ่งที่กำลังนำเทรนด์อยู่ในโลกปัจจุบัน

หนังเปิดเรื่องโดยแนะนำให้คนดูได้รู้จัก มิงค์ เด็กหญิงพิการหูหนวก ติดตามพ่อมาทำงานที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ที่โรงเรียนมีนักเรียนกลุ่มหนึ่งกำลังซ้อมเต้นเพลง มิงค์ที่หลงใหลการเต้น จึงไปยืนดูนักเรียนลุ่มนั้นซ้อมเต้น และพยายามเต้นตามไปด้วย แต่กลับไปเหยียบโทรศัพท์ที่กำลังเปิดเพลงเต้น ทำให้เพลงหยุดชะงัก นั่นทำให้เธอถูกพ่อต่อว่า และทำโทษ เพราะไปวุ่นวายกับกลุ่มนักเรียน ทำให้การซ้อมเต้นของพวกเขามีปัญหา

ฉากที่พ่อนั่งลงข้างกำแพงและร้องไห้เสียใจหลังทำโทษลูกตัวเอง หนังถ่ายทำฉากนี้โดยใช้การย้อนแสง ทำให้เห็นภาพออกมาเป็นภาพมืดๆ ของช่วงซอกตึกทาบบนตัวพ่อ ถึงภาพที่ได้มาจะไม่ได้สวยงามสมบูรณ์แบบ แต่ก็เป็นสื่อสารอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครพ่อออกมาเป็นภาพให้คนดูสัมผัสได้

นอกจากนี้ หนังยังทำได้ดีในแง่ก็ของการแบ่งแยกความแตกต่างตามแต่ละมุมมองของตัวละคร ทั้งตัวละครที่ได้ยินปกติ กับตัวละครที่พิการหูหนวก ให้ผู้ชมได้รับรู้อย่างชัดเจนด้วยการใส่ซาวด์ดนตรีเข้ามาแทนการได้ยิน ambience รอบข้างเมื่อเล่าเรื่องผ่านมุมมองของตัวละครหูพิการ และเมื่อเปลี่ยนไปเล่าเรื่องด้วยมุมมองของตัวละครปกติ ก็ตัดกลับมาเป็นเสียง ambience ปกติ

จุดเริ่มต้นของมิตรภาพระหว่างนักเรียนหูดี กับเด็กหญิงหูพิการเริ่มต้นหลังจาก มิงค์ ถูกพ่อทำโทษ และทำได้เพียงแอบมองกลุ่มนักเต้นอยู่เงียบๆ จนกระทั่งเกิดอุบัติเหตุขึ้นระหว่างซ้อมเต้น โชคดีที่มิงค์เข้าไปช่วยไว้ได้ทัน ทำให้นักเรียนคนหนึ่งรอดพ้นจากการบาดเจ็บร้ายแรง ทว่าในตอนแรก เอ นักเรียนที่มิงค์ช่วยเอาไว้ ไม่รู้ว่ามิงค์หูพิการ ทำให้เกิดความไม่เข้าใจกันระหว่างทั้งสองคน

มิตรภาพที่เกิดขึ้นจากการเข้าใจและยอมรับความแตกต่างของอีกฝ่าย และความพยายามก้าวข้ามอุปสรรค์ ด้วยการสื่อสารภาษาใบ้กับภาษาปกติ ก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น เอ สอนมิงค์เต้น ส่วนมิงค์ก็สอนให้เอสื่อสารด้วยภาษามือ ซึ่งเอได้พยายามเรียนรู้การสื่อสารภาษามือนี้อย่างจริงจัง เพื่อจะได้เข้าใจเพื่อนใหม่ของเธอ โดยหนังได้นำเสนอมิตรภาพของเด็กทั้งสองในมุมมองที่น่ารักสดใส

แต่แล้วมิตรภาพระหว่างเด็กสาวหูพิการกับเด็กปกติอย่าง มิงค์ กับ เอ ก็เกิดสะดุด เมื่อแม่ เอ ไม่พอใจที่ลูกใช้เวลากับเด็กหูพิการ และกลัวว่า เอ จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ คำพูดของแม่ ทำให้เอทอดทิ้งเพื่อนของเธอในวันต่อมา เมื่องานประกวดเต้นมาถึง เอก็ยังหายไป ทำให้ทีมเต้นไม่ครบคน แต่สมาชิกทีมเต้นคนอื่นๆ ได้นำ มิงค์ มาแนะนำตัวกับครูฝึกสอนเต้น โดยสมาชิกทุกคนยอมรับให้ มิงค์ ขึ้นประกวดเต้นแทนตำแหน่งของเอ ที่หายไป และเมื่อได้โอกาส มิงค์ก็แสดงความสามารถในการเต้นของตัวเอง ที่ไม่ต่างจากเด็กปกติ ทั้งๆ ที่เธอหูพิการและพูดไม่ได้ ก็ยังสามารถเต้นได้ จนพาทีมรับรางวัลชนะเลิศการประกวด

แต่แล้ว มิงค์ ที่ถูกส่งให้เป็นตัวแทนของทีมในการรับรางวัล ก็ไม่สามารถตอบคำถามของพิธีกรได้ เพราะเธอไม่ได้ยินเสียงใดๆ ในช่วงเวลาสำคัญนั้น เอก็ปรากฏตัวขึ้น และช่วยเพื่อนของเธอสื่อสารกับคนอื่นๆ ในงานประกวด ด้วยการแปลภาษามือของมิงค์

หนังใช้จังหวะการปรากฏตัวของเอ กับช่วงเวลาที่มิงค์เจอปัญหากับเวทีประกวดได้ดี และน่าประทับใจ ทำให้คนดูสัมผัสได้ถึงมิตรภาพของเด็กทั้งสอง และยังสัมผัสได้ถึงความอัดอั้นตันใจของเด็กพิการทางหูจากข้อความของมิงค์ที่สื่อออกมาให้คนปกติได้ฟัง โดยไม่เพียงแต่เอจะเข้าใจเพื่อนของเธอเท่านั้น แต่เอยังทำให้คนอื่นๆ สามารถเข้าใจเพื่อนของเธอได้อีกด้วย

สกอร์เพลงช่วงท้ายเรื่องช่วยกระตุ้นและเสริมอารมณ์คนดูให้รู้สึกซาบซึ้งไปกับคำพูดมิงค์ ที่สื่อสารผ่านเอ ได้อย่างดี แม้จะเป็นสกอร์เพลงที่เร้าอารมณ์หนักมาก แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าตัวสกอร์ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งที่หนังกำลังนำเสนอจนคนดูหลุดจากเนื้อเรื่อง นอกจากนี้ แม้โทนโดยรวมของหนังจะออกโทนสีหม่นจาง แต่ฉากเต้นสำคัญของเรื่อง ทำออกมาได้น่าประทับใจ และออกแบบท่าเต้นได้ดึงดูดและมีเสน่ห์ ไม่ได้ทำออกมาเป็นการเต้นงานโรงเรียน ทำให้คนดูเชื่อได้ว่าเป็นการขึ้นเต้นบนเวทีประกวดเต้นจริงๆ ส่วนของนักแสดง มิงค์ กับเอ นั้นมีเคมีที่ลงตัว ไม่ว่าจะเป็นฉากโกรธหรือดีกัน ก็สื่อสารรับส่งอารมณ์กันได้ดี ไม่ขัดตา

ตอนท้ายหนังได้เฉลยว่า เอตั้งใจหายไป เพื่อให้มิงค์ได้มาเต้นกับทีม และเพื่อนๆ ทุกคนในทีมเต้นก็เคยร่วมซ้อมเต้นกับมิงค์มาก่อนแล้ว มีเพียงครูฝึกสอนเต้นเท่านั้นที่ไม่รู้เรื่องนี้ ไม่ใช่เพราะเอทิ้งเพื่อนๆ ไป เนื่องจากคำพูดของแม่แต่อย่างใด ซึ่งเป็นจุดหักมุมเล็กๆ ของหนังที่ทำออกมาได้อย่างน่าชื่นชม

ทุกนาทีของความยาว 9 นาทีกว่าของหนังเสียงดอกไม้บาน ไม่ได้ถูกใช้อย่างเปล่าประโยชน์ ทุกฉากสมเหตุสมผลและล้วนเป็นการสื่อสารด้วยภาพยนตร์ออกมาให้คนดูได้รับรู้ในแง่มุมมองของตัวละครแต่ละตัวละครได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการแอบร้องไห้ของพ่อมิงค์ การไม่พอใจของครูฝึกเต้นตอนเปลี่ยนตัวมิงค์เข้ามาแทนเอ หรือตอนพิธีกรฟังคำแปลภาษามือของเอแล้วปาดน้ำตา ถือว่าเป็นการตัดต่อหนังที่ไม่ได้ใช้เทคนิคยุ่งยาก แต่ให้เวลากับทั้งดำเนินเรื่องและซีนอารมณ์ตัวละครโดยภาพรวมได้อย่างคุ้มค่า