Mirror Stage หรือ “กระบวนการสะท้อนในกระจก” หมายถึงช่วงเวลาหนึ่งในพัฒนาการของเด็กเมื่อเขาสามารถเริ่มรับรู้ถึงตัวตนของตัวเองจากการมองเห็นภาพสะท้อนในกระจก โดยช่วงนี้มักเกิดขึ้นระหว่างอายุ 6 ถึง 18 เดือน เด็กจะเริ่มมีความสามารถในการมองเห็นตัวเองในกระจก และรับรู้ว่าเงาสะท้อนในกระจกนั้นเป็นตัวเขาเอง แม้ว่าเด็กในช่วงเวลานี้ยังไม่ได้เข้าใจในเชิงสัญลักษณ์หรือความหมายของภาพที่เขาเห็น แต่การเห็นภาพตัวเองเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาเริ่มเข้าใจว่ามีตัวตนอยู่ในโลกภายนอก
สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วง Mirror Stage นี้คือลูกเด็กเริ่มเข้าใจว่าร่างกายของเขามีความแตกต่างจากโลกภายนอก และจากการมองเห็นภาพสะท้อนในกระจก เด็กจึงเริ่มสร้าง “ภาพลวงตา” (Ideal-I) ของตัวเอง ซึ่งเป็นภาพที่สมบูรณ์และไร้ข้อบกพร่อง แม้ว่าในความเป็นจริง เด็กยังไม่สามารถควบคุมหรือรับรู้ถึงความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างร่างกายของตนและภาพในกระจกได้ แต่ความเข้าใจนี้เป็นการเริ่มต้นของการสร้าง “อัตลักษณ์” ของเขาในสังคม
2. กระบวนการสะท้อนใน Mirror Stage: การสร้าง “ตัวตน” ผ่านภาพลวงตา
การที่เด็กสามารถเห็นตัวเองในกระจกไม่ได้แปลว่าเขาจะเข้าใจตัวเองในทันที แต่เป็นการสร้างภาพลวงตา ซึ่งเป็นสิ่งที่ลากองเรียกว่า “Ideal-I” หรือ “ภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบ” (Ideal Self) ภาพลักษณ์นี้เป็นสิ่งที่ทำให้เด็กเริ่มตระหนักถึงตัวตนที่แตกต่างจากผู้อื่น แม้ว่าในความเป็นจริงตัวตนของเด็กในช่วงนี้ยังคงขาดความสมบูรณ์ และเต็มไปด้วยความขัดแย้งภายใน
สิ่งนี้สำคัญมากเพราะ Mirror Stage ช่วยให้เด็กเกิดความรู้สึกมีตัวตน แม้ว่าความรู้สึกนี้จะไม่สมบูรณ์และเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าใจโลกและการสร้างอัตลักษณ์ที่มีความเชื่อมโยงกับสังคม ภาพสะท้อนที่ปรากฏในกระจกกลายเป็นกระบวนการทางจิตที่ทำให้เด็กเริ่มรับรู้ถึงการมีตัวตนในโลกภายนอก ซึ่งเป็นการรับรู้ที่ลึกซึ้งต่อการที่เขาจะเติบโตและเรียนรู้วิธีการอยู่ร่วมกับผู้อื่น
3. ความขัดแย้งภายในและการพัฒนาจิตใจ
การสะท้อนในกระจกไม่ได้แสดงให้เห็นแค่ตัวตนที่สมบูรณ์แบบและไร้ข้อบกพร่อง แต่ยังมีความขัดแย้งภายในที่เด็กต้องเผชิญ ในช่วง Mirror Stage เด็กจะพบว่าภาพสะท้อนที่เขาเห็นในกระจกนั้นไม่ตรงกับสิ่งที่เขารู้สึกหรือเข้าใจในตัวเองในระดับจิตใต้สำนึก เช่น เด็กอาจเห็นตัวเองในภาพสะท้อน แต่กลับรู้สึกไม่เหมือนกับที่เห็น หรือพบว่าร่างกายและท่าทางของเขาไม่สามารถสะท้อนความรู้สึกภายในได้ทั้งหมด ซึ่งเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงความขัดแย้งในตัวตน
สิ่งนี้ส่งผลต่อกระบวนการพัฒนาจิตใจในระยะยาว เพราะเด็กจะต้องต่อสู้กับการรับรู้ระหว่างความจริงและภาพลวงตาของตัวเอง ในกระบวนการนี้ เด็กจะค่อย ๆ พัฒนาไปสู่การยอมรับตัวตนที่ไม่สมบูรณ์และเต็มไปด้วยขีดจำกัด การเรียนรู้การยอมรับความแตกต่างระหว่างตัวตนภายในและภาพภายนอกเป็นกระบวนการที่ทำให้เด็กเริ่มเติบโตทางจิตใจและเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับผู้อื่น
4. กระบวนการสะท้อนในชีวิตจริง: การสร้างอัตลักษณ์ในสังคม
การที่เด็กผ่านกระบวนการ Mirror Stage มาแล้วทำให้เขาเริ่มเข้าใจการสร้างอัตลักษณ์ในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพราะการรับรู้ตัวตนในสังคมไม่เพียงแต่จะเกิดขึ้นจากการสะท้อนในกระจกเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นและสภาพแวดล้อมที่เด็กเติบโต ในทฤษฎีของลากอง, กระบวนการนี้สะท้อนถึงการพัฒนาของ “อัตลักษณ์” ซึ่งเป็นกระบวนการทางจิตที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้สิ่งที่ตัวตนเป็นและไม่เป็น
เมื่อเด็กเติบโตขึ้น เขาจะเรียนรู้ที่จะรับรู้ตัวตนผ่านการเชื่อมโยงกับความสัมพันธ์ทางสังคม เช่น ครอบครัว, เพื่อน, หรือสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรม การที่เด็กเห็นตัวเองสะท้อนผ่านปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ จะช่วยให้เขาเข้าใจบทบาทของตัวเองในสังคม และสามารถปรับตัวตนให้สอดคล้องกับบทบาทที่คาดหวังจากสังคม
5. Mirror Stage กับการสร้างตัวละครในภาพยนตร์
การนำทฤษฎี Mirror Stage ของฌาร์ค ลากองมาประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์ภาพยนตร์ก็สามารถช่วยให้เราเข้าใจถึงการพัฒนาตัวละครในภาพยนตร์ได้อย่างลึกซึ้ง ตัวละครที่ผ่านกระบวนการสะท้อนตัวตน (ทั้งในเชิงสัญลักษณ์และในมิติของความขัดแย้งภายใน) จะสะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตของตัวละครและการรับรู้ตัวตนในโลกภายนอก การศึกษาแบบนี้ทำให้ภาพยนตร์สามารถสะท้อนถึงกระบวนการทางจิตที่ซับซ้อนของมนุษย์ และเปิดโอกาสให้ผู้ชมได้เข้าถึงความหมายที่ลึกซึ้งในแต่ละฉากที่ตัวละครต้องเผชิญ
Mirror Stage ของฌาร์ค ลากองเป็นทฤษฎีที่สำคัญในการเข้าใจกระบวนการพัฒนาตัวตนของมนุษย์ ซึ่งกระบวนการสะท้อนในกระจกช่วยให้เด็กเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างตัวตนภายในและสิ่งที่เห็นภายนอก กระบวนการนี้ไม่เพียงแต่เป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาจิตใจของเด็กเท่านั้น แต่ยังเป็นหลักสำคัญในการสร้างตัวตนที่มีความซับซ้อนและมีมิติภายในจิตใจ ที่สะท้อนความขัดแย้งและการพัฒนาทางจิตวิทยาของมนุษย์ในโลกสมัยใหม่