จัดแสงยังไงให้โดดเด่น: เรียนรู้จากผลงานของ Roger Deakins

Roger Deakins เป็นชื่อที่ได้รับการยกย่องในโลกภาพยนตร์ในฐานะหนึ่งในผู้กำกับภาพ (cinematographer) ที่ยอดเยี่ยมที่สุดแห่งยุค ผลงานของเขาไม่เพียงแต่สวยงามในแง่ขององค์ประกอบภาพ แต่ยังสะท้อนถึงการใช้แสงที่พิถีพิถันและเต็มไปด้วยความหมาย การจัดแสงของ Deakins ไม่ได้เป็นเพียงแค่การทำให้ฉากดูดีในเชิงสุนทรียศาสตร์เท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เล่าเรื่องและเสริมสร้างอารมณ์ให้กับภาพยนตร์อย่างลึกซึ้ง

การจัดแสงในภาพยนตร์ของ Deakins เริ่มต้นจากการทำความเข้าใจอย่างละเอียดถึงธรรมชาติของแสงในชีวิตจริง เขามักกล่าวว่าเขาไม่ได้ต้องการสร้างภาพที่ดู “สวยงาม” ในความหมายดั้งเดิม แต่ต้องการให้แสงในแต่ละฉากดู “สมจริง” มากที่สุด แม้ว่าความสมจริงนี้จะเป็นการสร้างขึ้นมาก็ตาม ตัวอย่างที่เด่นชัดคือในภาพยนตร์ No Country for Old Men (2007) ซึ่ง Deakins ใช้แสงธรรมชาติและหลอดไฟแบบดั้งเดิมเพื่อสร้างความรู้สึกถึงความดิบและความตึงเครียดของเรื่องราว เขาเล่าเรื่องผ่านแสงและเงา โดยแสงในที่มืดไม่ได้เป็นเพียงพื้นหลัง แต่กลายเป็นตัวละครที่มีบทบาทสำคัญ

ในภาพยนตร์ Skyfall (2012) Deakins ได้นำการจัดแสงไปสู่อีกระดับหนึ่ง โดยเฉพาะในฉากที่ตัวละคร James Bond เผชิญหน้ากับศัตรูในตึกกระจกกลางเมืองเซี่ยงไฮ้ การใช้แสงนีออนจากป้ายไฟในฉากนี้ไม่เพียงแต่สร้างบรรยากาศที่น่าตื่นเต้น แต่ยังสะท้อนถึงความเปราะบางและความซับซ้อนของตัวละครผ่านเงาที่สะท้อนและตัดกันบนกระจก การจัดแสงในฉากนี้แสดงให้เห็นถึงความชำนาญของ Deakins ในการใช้แสงธรรมชาติร่วมกับแสงประดิษฐ์เพื่อสร้างความโดดเด่นและความลึกในเฟรมเดียว

อีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าประทับใจของ Deakins คือภาพยนตร์ Blade Runner 2049 (2017) ที่เขาได้รับรางวัลออสการ์สาขากำกับภาพยอดเยี่ยม Deakins ใช้แสงเพื่อสร้างโลกที่ทั้งสวยงามและน่าหดหู่ในเวลาเดียวกัน สีและแสงในภาพยนตร์นี้ถูกออกแบบมาให้สะท้อนถึงความแห้งแล้งทางอารมณ์และจิตใจของตัวละคร เช่น ฉากที่ K เดินผ่านซากเมืองที่เต็มไปด้วยแสงสีส้มเข้มจากแสงอาทิตย์ที่กรองผ่านฝุ่นละอองในอากาศ แสงที่ดูแห้งแล้งนี้ไม่เพียงแต่สร้างบรรยากาศของโลกที่พังทลาย แต่ยังสะท้อนถึงความรู้สึกภายในของตัวละครที่แสวงหาความหมายในโลกที่ไร้ชีวิต

สิ่งที่ทำให้ Deakins โดดเด่นไม่ใช่แค่การเลือกแหล่งกำเนิดแสงหรือสีของแสง แต่เป็นวิธีที่เขาใช้แสงเล่าเรื่องอย่างเป็นธรรมชาติ เขาเชื่อว่าแสงควรเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราว ไม่ใช่สิ่งที่แยกออกจากมัน วิธีการทำงานของเขามักเริ่มต้นจากการพูดคุยกับผู้กำกับเกี่ยวกับจุดประสงค์ของฉากและอารมณ์ที่ต้องการ จากนั้นเขาจะออกแบบแสงที่เหมาะสมที่สุดโดยคำนึงถึงการเล่าเรื่องเป็นหลัก

Deakins ยังมีความสามารถพิเศษในการใช้เงาอย่างชาญฉลาด ตัวอย่างเช่น ใน The Assassination of Jesse James by the Coward Robert Ford (2007) เขาใช้เงาเพื่อสร้างความลึกลับและความตึงเครียดในฉากสำคัญ เงาทำหน้าที่เป็นตัวแทนของความไม่แน่นอนและความลับที่ซ่อนอยู่ในตัวละคร การใช้เงาของเขาไม่เพียงแต่สร้างภาพที่น่าดึงดูด แต่ยังช่วยเสริมอารมณ์และบรรยากาศของภาพยนตร์ได้อย่างน่าทึ่ง

อีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญในงานของ Deakins คือการควบคุมสี (color grading) สีที่ใช้ในแต่ละฉากถูกออกแบบมาอย่างละเอียดเพื่อสะท้อนถึงอารมณ์ของตัวละครและเนื้อเรื่อง เช่น ใน 1917 (2019) สีที่ Deakins ใช้มีความเปลี่ยนแปลงตามอารมณ์ของเรื่อง ตั้งแต่สีโทนเย็นในฉากที่ตัวละครเดินผ่านสนามรบอันหนาวเหน็บ ไปจนถึงโทนสีอบอุ่นในฉากสุดท้ายที่สะท้อนถึงความหวังและความสงบ

Deakins มักพูดถึงการทำงานของเขาว่าเป็น “การรับใช้เรื่องราว” มากกว่าการสร้างภาพที่สวยงามเพื่อความสวยงามเอง เขาเชื่อว่าแสงควรช่วยให้ผู้ชมเข้าใจเนื้อหาและอารมณ์ของเรื่องราวโดยไม่รู้สึกว่ามันถูกสร้างขึ้นมาอย่างจงใจ ด้วยเหตุนี้ เขามักจะทำงานอย่างใกล้ชิดกับทีมออกแบบฉากและฝ่ายเทคนิคอื่น ๆ เพื่อให้แสงกลายเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่ตัวละครอาศัยอยู่

ในยุคที่เทคโนโลยีการถ่ายภาพพัฒนาไปไกล หลายคนอาจพึ่งพา CGI และโปรแกรมแก้ไขภาพเพื่อสร้างสรรค์แสงที่สวยงาม แต่ Deakins ยังคงยืนหยัดในแนวทางการทำงานที่ใช้ “แสงจริง” เขาเชื่อว่าการจัดแสงในกองถ่ายอย่างพิถีพิถันจะสร้างความสมจริงและสัมผัสที่ผู้ชมสามารถเชื่อมโยงได้ดีกว่า ตัวอย่างเช่น ใน Sicario (2015) เขาใช้แสงธรรมชาติในฉากพระอาทิตย์ตกเพื่อสร้างภาพที่งดงามโดยไม่ต้องพึ่งการแก้ไขในขั้นตอนหลังการถ่ายทำ

การเรียนรู้จาก Roger Deakins ไม่ได้หมายความว่าต้องเลียนแบบสไตล์ของเขา แต่คือการเข้าใจถึงหลักการและปรัชญาการทำงานของเขา Deakins สอนให้เรารู้ว่าแสงไม่ใช่แค่เครื่องมือในการสร้างความสวยงาม แต่เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการเล่าเรื่อง หากเราสามารถเข้าใจบทบาทของแสงในเชิงลึกและใช้มันเพื่อสื่อสารอารมณ์และความหมายที่ลึกซึ้ง เราก็สามารถสร้างผลงานที่โดดเด่นและมีเอกลักษณ์เช่นเดียวกับเขาได้

Roger Deakins เป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของความมุ่งมั่นและความเชี่ยวชาญในศิลปะการถ่ายภาพยนตร์ งานของเขาเป็นแรงบันดาลใจสำหรับทั้งผู้กำกับภาพมืออาชีพและผู้ที่เริ่มต้นในวงการนี้ การจัดแสงที่โดดเด่นของเขาไม่ได้เป็นเพียงแค่เทคนิค แต่เป็นปรัชญาที่ช่วยให้เรามองเห็นความสำคัญของแสงในฐานะหัวใจของการเล่าเรื่องภาพยนตร์