[fuse. Review] – TRUTH (ธนกฤต ภักดีพันธ์, 6.21 นาที)

*มีการเปิดเผยเนื้อหาและตอนสำคัญ

หนังจั่วเรื่องมาด้วยคำว่า “บทสัมภาษณ์เสมือน ที่นำเสนอความจริง” บอกตามตรงว่าตอนแรกก็สงสัยว่า เอ๊ะ บทสัมภาษณ์เสมือนที่นำเสนอความจริงมันจะทำให้เราคล้อยตามหรือเชื่อกับสิ่งที่หนังต้องการจะพูดกับเราได้อย่างไร แต่ปรากฏว่าหลังชมเรื่อง TRUTH กลับทำให้เรารู้สึกเห็นอกเห็นใจกับเด็กรุ่นนี้ที่เสียเวลาในการเรียนรู้บทเรียนชีวิตต่างๆ มากมาย ในช่วงที่ทั่วทั้งโลกต้องเผชิญกับสถานการณ์ COVID-19 และต้องทนทุกข์จากการถูกกักขังอยู่เพียงแต่ภายในบ้าน และไม่ได้ออกไปพบเจอกับโลกแห่งความเป็นจริงเป็นระยะเวลาร่วมเกือบ 2 ปี

สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับเรื่องนี้คือตัวนักแสดงที่ถูกสัมภาษณ์นั้นแม้จะเป็นแค่ผู้ให้สัมภาษณ์เสมือน ตามคำบรรยายของเรื่อง แต่เด็กผู้ชายที่ชื่อ เคน เขาคือคนที่ได้รับผลกระทบจากการ Lockdown ทำให้แม้ว่าสิ่งที่เขาพูดทั้งหมดนั้นจะเป็นการแสดง แต่มันกลับเป็นการแสดงที่แฝงไปด้วยความรู้สึกจริงๆ ของพวกเขา ที่เหมือนถูกบังคับให้เคยชินกับการใช้ชีวิตแบบ New Normal ที่ปิดกั้นพวกเขาจากการใช้ชีวิตในสังคม ยิ่งโดยเฉพาะตอนที่เคนเปิดคลิปสื่อการเรียนรู้ของ DLTV ให้กับผู้สัมภาษณ์เสมือนและตากล้องดู คลิปวีดีโอเกิดการ Buffering ขึ้นมา เคนกลับตอบผู้สัมภาษณ์ประหนึ่งว่าเป็นเรื่องธรรมดา แสดงให้เห็นเลยว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ซึ่งแน่นอนความจริงแล้วการที่สื่อการเรียนการสอนไม่ได้เสถียรภาพนั้น ถือได้ว่าเป็นปัญหาอันหนักหน่วงของการศึกษาเรียนรู้พอสมควรเนื่องจากการที่คนเราจะเรียนรู้และจดจำอะไรได้นั้น มันจำเป็นต้องใช้สมาธิ และความไม่เสถียรของสื่อการเรียนนั้นแน่นอน มันทำให้ผู้เรียนไม่สามารถจดจ่อกับการเรียนการสอนได้

ทั้งนี้ทั้งนั้น ด้วยข้อจำกัดของเวลาที่ทำให้ตัวผู้สร้างนั้นไม่สามารถใส่รายละเอียดต่างๆเข้าไปเพื่อให้บทสัมภาษณ์นั้นมีมิติลึกมากยิ่งขึ้น ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลหากมีโอกาสที่จะพัฒนาต่อได้ การที่สามารถเพิ่มรายละเอียดของเนื้อหาการสัมภาษณ์ และการเพิ่มสถานการณ์สมมติต่างๆเข้าไปแทรกในระหว่างการสัมภาษณ์ อาจทำให้ TRUTH สามารถดึงความรู้สึกร่วมของผู้ชมได้มากยิ่งขึ้น

นอกจากตัวผู้แสดงแล้ว การที่จู่ๆ การสัมภาษณ์นั้นถูกตัดสลับเป็นการนำเสนอข่าวการปลด Lockdown ในปีถัดมานั้น ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจเหล่านักเรียนทั้งหลายเป็นอย่างมาก เพราะภาพที่ปรากฏนั้นเป็นภาพของความสนุกสนาน การได้ไปเที่ยวกับเพื่อน การได้ดื่มด่ำกับความหวานชื่นมื่นกับความรักแบบ Puppy Love หรือการสร้างความทรงจำวัยเยาว์อันแสนหอมหวานอย่างการนัดเดทครั้งแรก แม้ภาพเหล่านี้จะเป็นภาพแห่งความสุข แต่มันช่างน่าเสียดายเสียเหลือเกินที่เด็กเหล่านั้นต้องพลาดโอกาสในการสร้างความทรงจำในวัยเยาว์ที่อาจเป็นทั้งความทรงจำที่น่าจดจำชวนให้คิดถึงเพื่อเยียวยาจิตใจเมื่อพวกเขาเติบโตขึ้นและต้องเผชิญกับความโหดร้ายของโลกแห่งความเป็นจริง หรือความทรงจำอันขมขื่นที่เป็นบทเรียนชีวิตเพื่อให้พวกเขาไม่ก้าวพลาดซ้ำอีกในอนาคต ซึ่งหากพิจารณาดูแล้ว เวลา 2 ปีนั้นเป็นเวลาที่มากมายเสียเหลือเกินที่พวกเขาสูญเสียโอกาสในการเรียนรู้บทเรียนชีวิตต่างๆ ที่ไม่ใช่เพียงแต่บทเรียนในห้องเรียนเพียงเท่านั้น

และที่สำคัญ ฉากนี้สร้างออกมาได้น่ารักน่าหยิกแก้มเป็นอย่างมาก เพราะความหวานชื่นมื่นของสองนักเรียนชายหญิงที่เดินเล่นกระหนุงกระหนิงอยู่ภายในห้าง มีหลายจุดที่นักแสดงทั้งสองสามารถทำให้เราหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดูจากความกระหนุงกระหนิงของทั้งสอง และสะท้อนภาพที่เรามักจะเห็นเป็นประจำของคู่รักเวลาไปเดินห้างด้วยกันอย่างน่าเอ็นดู เช่น การที่แฟนสาวอัดคลิปวีดีโอการเต้นลง Social Media ที่คาดว่าน่าจะเป็น TIktok แต่แฟนหนุ่มนั้นกลับยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ข้างหลัง มันช่างดูคล้ายกับ Meme คู่รักที่เรามักจะเห็นกันในสื่อออนไลน์ที่ทำให้เราหัวเราะออกมาเสียเหลือเกิน

และฉากที่ซ้ำเติมความน่าเห็นใจของเด็กรุ่นใหม่คือ ฉากกินข้าวของผู้สัมภาษณ์กับบุคคลที่คาดว่าน่าจะเป็นพี่ชายของเคน โดยก่อนที่จะเข้าช่วงหลังของเรื่อง มีตัวหนังสือสีขาวขึ้นมากลางจอว่า Studying = 0 ซึ่งมันดูขัดแย้งกับสิ่งที่พี่ชายของเคนพูดเสียเหลือเกิน ตัวพี่ชายนั้นคุยโตเอาไว้ว่าเคนเรียนเก่งมากตอนอยู่ชั้นประถม และคาดหวังที่จะให้เขาไปเรียนต่อต่างประเทศหลังเรียนจบ แต่ความเป็นจริงกลับไม่ใช่อย่างนั้น การศึกษาแบบ New Normal นั้นกลับไม่ต่อยอดความเรียนเก่งของเคนให้ไปไกลมากไปกว่านี้ สิ่งที่ไปไกลนั้นคงมีเพียงแค่ความคาดหวังของคนในครอบครัวที่เดินนำหน้าความเป็นจริงจนแทบตามไม่ทัน ซึ่งเราดูฉากนี้แล้วเรารู้สึกเป็นห่วงว่าเด็กรุ่นใหม่อย่างเคน ที่ต้องเสียเวลาชีวิตไปร่วม 2 ปี จะรู้สึกอย่างไร หากวันหนึ่งความคาดหวังของคนในครอบครัวที่สูงชะลู่นั้น หล่นทับลงมาใส่พวกเขา มันคือความจริงที่แสนน่าเศร้าที่เด็กรุ่นใหม่อย่างเคน จะต้องแบกรับความคาดหวังของครอบครัว โดยที่สิ่งแวดล้อมต่างๆ ไม่ได้หยิบยื่นความช่วยเหลือมาให้กับพวกเขาเลยแม้แต่น้อย

สิ่งที่น่าชื่นชมของ TRUTH นั้นคือความกล้าหาญที่จะทดลองทำหนังแนวสารคดีที่สะท้อนให้เห็นถึงประสบการณ์โดยตรงของพวกเขาที่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาที่เกิดจากการจัดการอันไม่รอบคอบของผู้ใหญ่ในสังคม การดำเนินเรื่องทั้งหมดนั้น ถูกกลั่นกรองออกมาจากมุมมองและแนวคิดจากผู้ที่ต้องเผชิญกับความจริงของระบบการศึกษาในช่วง COVID-19 ดังนั้น TRUTH จึงแฝงไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวดและความรู้สึกสิ้นหวังของเด็กรุ่นใหม่ที่เคลือบไปด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างไร้เดียงสา เสมือนว่าพวกเขานั้นโอเคกับปัญหาที่พวกเขานั้นไม่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างขึ้นมาแต่อย่างใด