เวลานั้นเป็นสิ่งล้ำค่าที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถครอบครองได้ ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถตักตวงหรือปรับเปลี่ยนได้อย่างใจตนเอง แต่ในวันที่ท้อแท้และสับสนในตัวเองที่สุด วาฬ ชายหนุ่มที่กลับมาร่วมงานศพของแม่ กลับได้บทเรียนที่สำคัญที่สุดในการใช้ชีวิตจากเวลาอย่างไม่รู้จบระหว่างเขากับพ่อ เด็กหนุ่มได้มีเวลาย้อนกลับไปคิดและแก้ไขสิ่งต่างๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเขาเองก็ยังแปลกใจ
ภาพยนตร์สั้นร้อยเรียงเส้นเรื่องของเวลาตามเหตุการณ์ที่ วาฬ ชายหนุ่มผู้กลับมางานศพของแม่ที่ต่างจังหวัด ได้กลับมาอยู่กับพ่อช่วงสั้นๆ ก่อนกลับไปทำงาน แต่เขาก็ได้พบกับเหตุการณ์น่าประหลาดใจเมื่อเวลาของเขาหยุดอยู่ที่เดิมหลังจากตื่นนอนขึ้นมาถึง 3 ครั้ง วาฬพบกับเมนูกะเพรา ไข่ดาว และนักเก็ตไก่ที่พ่อเตรียมไว้ให้แบบเดิม พบกับลูกค้าคนเดียวที่มาซื้อปลาสอด และพบกับเด็กขายพวกมาลัยคนเดิมที่เชิญชวนให้พ่อของเขามาซื้อพวงมาลัยในวันพระที่ใกล้เข้ามา และโทรศัพท์เจ้าหัวหน้างานที่สั่งงานเขาในวันหยุดโดยไม่สนใจว่าเขากำลังลาพักร้อน รายละเอียดของเหตุการณ์รอบหน้านั้นเหมือนเดิมตามลำดับขั้นของวันก่อนหน้า มีเพียงวาฬเท่านั้นที่เปลี่ยนไปตั้งแต่กายภาพและพฤติกรรม สิ่งเดียวที่บอกผู้ชมว่าเวลาของวาฬยังเดินไปบนคนละเส้นกับเวลาของสภาพแวดล้อมรอบตัวคือเขาเปลี่ยนสีเสื้อ สงสัยในเมนูอาหารเช้า และเกิดการเรียนรู้ที่จะชวนพ่อขายของและหยิบจับทุกอย่างแทนพ่อของเขาราวกับคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านั้นเป็นอย่างดี เวลาของวาฬเปิดโอกาสให้เขาได้เรียนรู้และแก้ไขหลายสิ่ง จนกระทั่งเขาได้พบกับชายแปลกหน้าที่มายืนดูดบุหรี่เป็นเพื่อนเขาบริเวณริมหาดพร้อมทั้งพูดคุยถึงแนวทางการดำเนินที่ชิตที่ทั้งสองกล้าเปิดเผยต่อกันในฐานะคนแปลกหน้าโดนแทนเรื่องที่ติดค้างอยู่ในใจว่าเป็นเรื่อง “เพ้อๆ” ของคนทั้งสองคน
บนสนทนาของคำถามที่ว่าถ้าเวลาของเราไม่ขยับไปข้างหน้าแต่ยังหมุนซ้ำเดิมไม่หยุด ชายแปลกหน้าจะทำอย่างไร ทำให้วาฬเข้าใจได้ถึงความต้องการต่อไปของเขา เพราะคำตอบนั้นคือข้อดีของการที่เวลาไม่ไหลไปข้างหน้า ทำให้เขาได้ทำวันสุดท้ายกับคนที่เขารักได้ซ้ำๆ โดยไม่ต้องเสียใจทีหลัง
กาลเวลาในภาพยนตร์นั้นไม่ได้เพียงแค่หยุดชะงักผ่านการรับรู้ของวาฬ แต่วิดีโอที่ถูกเปิดซ้ำ จากกล้องวิดีโอที่บันทึกภาพและคำสอนของพ่อเอาไว้เองก็ทำหน้าที่แบบเดียวกัน ช่วงเวลาเหล่านั้นยังคงตักเตือนวาฬอยู่เสมอ เช่นเดียวกันกับวันปัจจุบันที่อนุญาตให้เขาทำสิ่งที่ดีที่สุดและจะไม่ย้อนกลับมาเสียใจทีหลัง
ในที่สุดวาฬตัดสินใจชวนพ่อของเขาไปรับลมริมหาดพร้อมทั้งพูดสิ่งที่อยู่ในใจของเขาออกมา ตัวตนที่โหยหาการยอมรับและความสำเร็จที่ต้องไขว่คว้าเพื่อความภาคภูมิใจของครอบครัว เหมือนกับที่เขาอยากทำทุกวันออกมาให้ดี และเขาเองก็ได้รับโอกาสสั้นๆ ในการหยุดเวลานั้นเพื่อเลือกช่วงเวลาที่ดีที่สุดให้กับพ่อ ในขณะที่ผู้เป็นพ่อไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าการได้เห็นลูกชายของเขาใช้ชีวิตที่อยากจะใช้ เหมือนกับภาพวิดีโอในวันวานที่ยังยืนยันมาเสมอว่าการได้เห็นลูกมีความสุข เป็นทั้งหมดในชีวิตของเขา และไม่ว่าเขาจะเป็นอะไรในอนาคต พ่อก็พร้อมที่จะสนับสนุนมาเสมอ ฉากสุดท้ายของภาพยนตร์ วาฬยืนแต่งกายเรียบร้อยไม่ต่างกับวันที่ไปลอยอังคารแม่ของเขา พร้อมถือกล้องถ่ายตนเองยืนยิ้มอย่างมีความสุข
ภาพยนตร์จัดเรียงลำดับภาพทับกันสองเส้นเวลาคือเวลาปกติของสภาพแวดล้อมรอบข้าง ที่ไหลไปข้างหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าที่เปลี่ยนไปทุกวันของวาฬ หรือบุหรี่ของชายแปลกหน้าที่ลดลงเรื่อยๆ จนเกือบหมดมวน ในขณะที่เวลาของวาฬกลับหยุดอยู่กับที่ตั้งแต่นาฬิกาปลุกหรือบุหรี่ที่สูบเท่าไหร่ก็ไม่ลดลงไปของเขา แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น บทสนทนาของวาฬและผู้คนรอบตัวกลับมีไดอาล็อคที่เปลี่ยนไปตามวาฬผู้เป้นตัวละครหลัก ซึ่งเขาเป็น
ตัวละครเดียวที่มีโอกาสได้ลองผิดลองถูก ลองคิดและแก้ไข วาฬคือตัวละครที่รู้คุณค่าของเวลามากที่สุด และเขาก็เรียนรู้ที่จะใช้มันเป็นเครื่องมือในการรักษาบาดแผลของชีวิต ร่วมกับพ่อที่เป็นผู้สนับสนุนทั้งชีวิตของเขา
บทสรุปของเรื่องนี้ เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาชีวิตแสนสั้นเพียงไม่เกิน 3 วันของวาฬ แต่กลับไขคำตอบของความทุกข์ใจที่ติดอยู่กับเขามานานได้อย่างหมดจด วาฬเป็นตัวละครที่แบกเอาความหวังของตนเองไว้อย่างหนักอึ้ง พยายามที่จะทำทุกอย่างให้ได้เพื่อยืนยันกับใครต่อใครว่าเขาเป็นคนที่คู่ควรกับความภาคภูมิใจ ในขณะเดียวกันก็อาจะทำเวลาที่จะได้อยู่กับครอบครัวแต่ตัวของเขาเองหล่นหายและล่วงเลยไปไกลเกินกว่าจะย้อนกลับ มีเพียงวิดีโอสั้นที่อยู่ในภาพ เสียง และความทรงจำของเขาที่ผุดขึ้นมาเป็นครั้งคราว วาฬได้ตัวตนของเขากลับไปอีกครั้งได้เรียนรู้ที่จะใช้เวลาให้คุ้มค่าทุกนาทีเพื่อยืนยันถึงการมีอยู่ของตัวเอง หาใช่การใช้เวลาของเขาไปกับความคาดหวังของคนอื่น