เชื่อว่าต้องมีหลายคนหลายบ้านที่มีประสบการณ์พูดคุยสื่อสารกันผ่านช่องทางโซเซียลมีเดีย ทั้งๆ ที่โลกจริงของพวกเขานั้นอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน การเลือกใช้โซเซียลมีเดียเป็นสื่อกลางพูดคุยแทนที่จะคุยกันต่อหน้าดีๆ ย่อมทำให้เกิดความเข้าใจในการสื่อสารอันคลาดเคลื่อน หรือเลยเถิดไปถึงขึ้นเกิดความบาดหมางใจระหว่างกันได้ นั่นก็เพราะว่าตัวหนังสือไม่มีทั้งน้ำเสียงและสีหน้าแสดงออกเหมือนมนุษย์ หลายครั้งข้อความบางข้อความก็อาจจะทำร้ายความรู้สึกของผู้รับโดยที่ผู้ส่งสารไม่ได้ตั้งใจ
ตั้งแต่สังคมได้เข้าสู่ยุคโซเซียลมีเดีย ก็มีหนังหลายเรื่องที่ใช้สื่อโซเซียลแทนการสื่อสารปกติระหว่างบุคคลแบบซึ่งหน้า หนังไทยเรื่องแรกๆ ที่บุกเบิกการใช้สื่อโซเซียลบนภาพยนตร์อย่างชัดเจน คือหนังสั้นปี 2011 ความยาว 33 นาทีเศษ ชื่อเรื่อง มั่นใจว่าคนไทยเกินหนึ่งล้านคนเกลียดเมธาวี ซึ่งกำกับและเขียนบทโดย เต๋อ นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ โดยมี เต้ย จรินทร์พร จุนเกียรติ รับบทเป็นเมธาวี นักเรียนชั้นมัธยมปลายที่ตกเป็นหัวข้อสนทนาของคนทั้งโรงเรียน ทั้งในโลกจริงและโลกเสมือนจริง
หนังเรื่องนี้ทำออกมาเกาะกระแสในสมัยนั้น ที่มีเพจดังหลายเพจถูกสร้างขึ้นมาแบบเฉพาะกิจ เพื่อโจมตีบุคคลใดบุคคลหนึ่ง โดยเพจเหล่านั้นมักจะใช้ชื่อขึ้นต้นว่า มั่นใจว่าคนไทยเกินหนึ่งล้านคนเกลียด… โดยตัวหนังใช้การสัมภาษณ์บรรดานักเรียนโรงเรียนเดียวกับเมธาวี สลับกับเล่าเรื่องเมธาวี พร้อมกับตัดภาพไปที่ข้อความที่เป็นโพสความคิดเห็นจากเหล่าชาวเน็ท ที่เข้ามาคอมเมนท์เกี่ยวกับเมธาวี ความเห็นเหล่านั้นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเลยเถิดไปถึงขั้นทะเลาะกันเอง ทั้งในโซเซียลและในโลกจริง
อย่างไรก็ตาม ด้วยสายตาของคนดูหนัง ที่ได้เห็นทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ จากมุมมองของตัวละครทุกตัว กับสิ่งที่ชาวเน็ทในหนังกำลังแสดงความคิดเห็นกันอย่างเมามัน ทำให้คนดูรู้ว่า สิ่งที่ชาวเน็ทรับรู้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ ไม่ได้ถูกต้องเสมอไป ยังไม่รวมถึงการเสริมแต่งเรื่องราวให้มีสีสันสนองอารมณ์ชาวเน็ทแต่ละคน โดยชาวเน็ททุกคนพยายามจะแสดงออกว่าตัวเองเป็นคนวงใน เป็นเพื่อนใกล้ชิด เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับความคิดเห็นของตัวเอง
ขณะที่ Heart To Heart เล่าเรื่องความสัมพันธ์ของแม่ลูกคู่หนึ่งในยุคโซเซียลมีเดีย ก่อนคนดูจะได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าทั้งสองคนเพิ่งสูญเสียหัวหน้าครอบครัวไปเมื่อไม่นานมานี้ หนังดำเนินเรื่องโดยใช้ว็อยซ์โอเวอร์เป็นหลัก และเปิดเรื่องด้วยเสียง ambience ของ inflluencer ท่านหนึ่งในสื่อโซเซียล พร้อมภาพหน้าจอมือถือที่กดเปิดเล่นวีดีโอวีดีโอหนึ่งอยู่ในโซเซียลมีเดีย เป็นปูให้คนดูได้รู้ว่าหนังเรื่องนี้จะเล่าถึงอะไร
ความห่างเหินของสองแม่ลูกเกิดขึ้น เมื่อแม่ต้องแบกรับภาระครอบครัวไว้คนเดียว จนไม่มีเวลาให้ มิ้ง ลูกสาว ขณะที่ตัว มิ้งเองก็ใช้เวลาส่วนใหญ่คลุกอยู่กับโลกเสมือนในโซลเซียลมีเดีย หนังทำได้ดีในแง่ของการทำให้เห็นภาพคู่ขนานระหว่างชีวิตในโลกจริงกับโลกในโซเซียลของตัวละคร เช่น ฉากที่ลูกสาวฉลองวันเกิดอยู่คนเดียว และโพสลงโซเซียล หรือฉากในห้องเรียน ที่เด็กคนอื่นๆ ในห้อง พากันเล่นโทรศัพท์โดยไม่มีใครพูดคุยกัน และเมื่อกลับมาที่บ้าน ทั้งมิ้งและแม่ต่างก็อยู่กับหน้าจอโทรศัพท์กันทั้งสองคน
เมื่อความบาดหมางระหว่างแม่และมิ้ง เริ่มทวีความรุนแรงขึ้น หนังใช้เสียงบรรเลงของไวโอลีน ที่สีอย่างบาดอารมณ์เข้ามาแทนเสียงทะเลาะถกเถียงกันของสองแม่ลูก โดยมีภาพลูกโป่งลูกหนึ่งแทนความอัดอั้นตันใจที่แม่กับลูกมีต่อกัน สลับกับภาพโพสสเตตัสโซเซียลของแม่และมิ้งที่ต่างก็โพสความรู้สึกด้านลบพาดพิงถึงอีกคน กระทั่งลูกโป่งลูกนั้นแตกลง ถึงตรงนี้หนังใช้ความมืดขั้น ก่อนตัดภาพกลับไปที่ฉากบนโต๊ะอาหาร ที่มิ้งกำลังสนุกอยู่กับโลกโซเซียลในมือถือ โดยไม่สนใจแม่ที่นั่งกินข้าวอยู่ด้วยกัน เหมือนเป็นช่วงเวลาแห่งความสงบก่อนพายุจะมา
หลังการระเบิดอารมณ์ของแม่และมิ้งบนโต๊ะอาหาร หนังก็เปลี่ยนไปใช้เพลง Clair de Lune บทประพันธ์คลาสสิคของ Debussy แทนความรู้สึกแตกสลายและเดียวดายของทั้งสองแม่ลูก ทว่าท้ายสุด ทั้งสองคนที่สามารถเยียวยาหัวใจของกันและกัน ซึ่งหนังได้ใช้รูปถ่ายสามคนพ่อแม่ลูกในสมัยที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ ที่ถูกฉีกครึ่งใบ มาแทนความทรงจำเก่าๆ สมัยที่ครอบครัวยังอบอุ่นและอยู่กันพร้อมหน้า ดังนั้น เมื่อแม่นำรูปถ่ายอีกครึ่งใบมาต่อให้เป็นรูปถ่ายที่สมบูรณ์ ถึงแม้รอยฉีกขาดจะยังอยู่ แต่ความทรงจำดีๆ ที่สองแม่ลูกมีต่อกันก็ย้อนกลับมา
ความลื่นไหลของหนังส่วนหนึ่ง ก็นักแสดงที่เล่นเป็นแม่ และมิ้ง สามารถเล่นส่งต่อบทอารมณ์กันได้แบบไม่รู้สึกติดขัด หรือรู้สึกว่าเป็นอารมณ์ประดิษฐ์ ทำให้เชื่อว่าแม่และมิ้งรู้สึกต่อกันแบบในเรื่องจริงๆ การแสดงของทั้งสองคนยังสามารถดึงให้คนดูเข้าไปมีความรู้สึกร่วมด้วย ไม่ว่าจะตอนเศร้าเสียใจ หรือตอนกลับมาคืนดีกันก็สร้างความประทับให้คนดูได้ เมื่อคิดว่าหนังเรื่องนี้มีความยาวเพียงแค่ 5 นาที ก็สามารถใช้องค์ประกอบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพสัญญะ ทั้งลูกโป่ง รูปถ่ายครึ่งใบ, เสียง ambience, เสียงดนตรี, เสียงว็อยซ์โอเวอร์ และทักษะการแสดงอารมณ์ของสองนักแสดง โดยองค์ประกอบทั้งหลายทำงานสอดรับและประสานกันในหนังอย่างถูกจังหวะและลงตัว จนสามารถมัดใจคนดูให้อยู่กับเนื้อเรื่องและมีความรู้สึกร่วมไปกับตัวละครได้
ในชีวิตจริงที่หลีกหนีโลกโซเซียลไม่พ้น ชาวเน็ททุกคนควรรู้เท่าทันอารมณ์ความรู้สึกที่ได้จากการเสพสื่อโซเซียล ว่าเป็นอารมณ์ที่ไม่ได้เกิดจากข้อเท็จจริงทั้งหมด เพราะหลายต่อหลายอย่างที่พบเห็นในสื่อโซเซียลไม่ใช่เรื่องจริง และแม้การสื่อสารผ่านโซเซียลจะมีประโยชน์ แต่ควรระลึกว่าตัวหนังสือนั้นไม่มีน้ำเสียงให้อีกฝ่ายจับความรู้สึก