*มีการเปิดเผยเนื้อหาและตอนสำคัญ
สารภาพตามตรงว่าตอนแรกที่เปิดหนังสั้นเรื่อง GLIMPSE OF ECSTASY ค่อนข้างตกใจเพราะไม่มีเสียงอะไรออกมาจากลำโพงเลยแม้แต่เดซิเบลเดียว มีเพียงแค่ภาพ Visual ของเทศกาลดอกไม้ไฟเป็นระยะเวลากว่า 7 นาที แต่พอรู้ว่ามันเป็นงานแนว Experimental จึงอ่านคำบรรยายของหนังสั้นเรื่องนี้และลองนั่งรับชมอีกครั้ง กลับกลายเป็นว่างานชิ้นนี้มันให้อารมณ์สุนทรีย์ได้อย่างน่าสนใจ ประหนึ่งได้รับชม Visual Art กลายๆ เสียอย่างนั้น
ตัวคำบรรยายของเรื่องระบุว่า “เทศกาลปีใหม่เป็นช่วงเวลาแห่งความหวังและการเฉลิมฉลอง แต่หากในอีกหนึ่งมุมหนึ่งก็ถือเป็นความสุขชั่วคราวที่ทุกคนต่างตั้งหน้าตั้งตารอคอย เหมือนดั่งมายาคติที่หล่อเลี้ยงให้มนุษย์เดินหน้ากับชีวิตด้วยความหวัง กลายเป็นวัฏจักรที่วนเวียนอยู่อย่างไม่มีวันสิ้นสุด เพราะสุดท้ายแล้วทุกคนก็ต่างต้องการความหวังชั่วคราวมาจุดประกายชีวิต ถึงแม้จะเป็นแค่เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ตาม” ซึ่งตามที่กล่าวไปข้างต้นว่าตัวหนังสั้นนั้นเป็นเพียงแค่คลิปวีดีโอเทศกาลดอกไม้ไฟ ซึ่งพอนั่งชมไปซักพัก จู่ๆ ก็มีเสียงในหัวของตัวเองดังขึ้นมาว่า ทำไมเราจึงสามารถดื่มด่ำกับภาพมายาตรงหน้าเราได้ขนาดนี้ และก็เชื่อมโยงกับประสบการณ์ของตัวเองว่า ทุกๆ เทศกาลปีใหม่ เรามักจะตั้งหน้าตั้งตารอเวลาที่จะได้เฉลิมฉลองกับครอบครัวหรือเพื่อนอย่างใจจดใจจ่อ เรามักจะร่างภาพจินตนาการของเราเอาไว้ล่วงหน้าว่ามันจะต้องเกิดสิ่งใดบ้าง และไม่พลาดที่จะดื่มด่ำกับภาพมายาของความสุขที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งความคิดเหล่านี้มันสะท้อนใจเสียเหลือเกินว่าทำไมการเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นมันถึงได้สิ้นหวังมากถึงขนาดที่เราต้องมานั่งรอความสุขเพียงชั่วครั้งชั่วคราวของเทศกาลหนึ่งเทศกาลที่เพียงแค่พริบตาเดียว ความสุขเหล่านั้นก็ปลิวหายไปอย่างรวดเร็วราวกับสายลม
หากลองนั่งพินิจพิจารณาดูแล้ว ความสุขในช่วงปีใหม่นั้นก็คล้ายคลึงกับดอกไม้ไฟ มันเกิดขึ้นและแทบจะจบลงพร้อมกันในเวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาที แต่ความสุขเพียงสั้นๆ เหล่านี้ กลับกลายเป็นตัวจุดประกายความหวังในการมีชีวิตต่อให้กับมนุษย์ได้เป็นเวลา 1 ปี คำถามที่เกิดขึ้นคือ แล้วทำไมกันล่ะ ทำไมมนุษย์ถึงไม่สามารถสร้างความหวังในการมีชีวิตในวันต่อไปด้วยตัวเองขึ้นมาได้ ทั้งๆที่ชีวิตก็เป็นของตัวเองแท้ ๆ มนุษย์ต้องเผชิญกับอะไรบ้างในโลกแห่งความเป็นจริง ทำไมโลกแห่งความเป็นจริงนั้นใจร้ายกับมนุษย์ได้มากถึงเพียงนี้ คำถามเหล่านี้ถือเป็น Effect ที่น่าสนใจเป็นอย่างมากของหนังสั้นเรื่องนี้ เพราะการทำให้ผู้ชมนั้นได้ไตร่ตรองนึกคิด ตั้งคำถามอันเกิดจากการรับรู้ทางประสาทสัมผัสทั้ง 5 และตกผลึกความคิดอะไรบางอย่าง มันคือ Effect ที่มักจะเกิดขึ้นจากการรับชมงานศิลปะชัดๆ ดังนั้นหากจะบอกว่าหนังสั้นเรื่องนี้มีองค์ประกอบของความเป็นงานศิลปะ ก็คงจะไม่ใช่การชื่นชมที่เกินเหตุ พลางทำให้นึกถึงหนังสั้นของ วิริญาพร บุญประเสริฐ เรื่อง Ghost of Centralworld ที่ไม่ได้ถูกดำเนินเรื่องราวผ่านตัวละครหรือนักแสดงใดๆ มีเพียงแต่ภาพเหตุการณ์ไฟไหม้ที่ Centralworld ,ตัวหนังสือจากบทสัมภาษณ์ และเสียงเหตุการณ์ที่ถูกเล่นโดยใช้เทคนิคการ Reverse Sound เพียงเท่านั้น แต่องค์ประกอบดังกล่าวกลับสามารถสร้างความรู้สึกให้กับผู้ชมได้อย่างน่าประหลาดใจ
นอกจากนี้แล้วการที่ผู้สร้างได้เขียนคำบรรยายเป็นตัวช่วย Guide ความคิดของคนดู โดยการเขียนแบบกว้างๆ ไม่ได้ตีกรอบความคิดผู้ชมก็ถือว่าเป็นจุดที่น่าชื่นชมเป็นอย่างมาก ซึ่งคล้ายกับการที่เราเข้าไปรับชมภาพวาดในพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่จะมีการเขียนคำบรรยายเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดในการสร้างชิ้นงาน ซึ่งคำบรรยายเหล่านั้นมีบทบาทในการตกผลึกความคิดให้กับงานเหล่านั้นเป็นอย่างมาก โดยคำบรรยายของ GLIMSE OF ECSTASY เองก็มีการทำงานเช่นเดียวกันกับคำบรรยายงานทัศนศิลป์เช่นกัน เพราะหากไม่มีคำบรรยาย หนังสั้นชิ้นนี้ก็จะกลายเป็นเพียงแค่คลิปวิดีโอ Visual Effect ของดอกไม้ไฟเพียงเท่านั้น
หากจะมีข้อเสนอแนะที่ต้องการให้ผู้สร้าง GLIMSE OF ECSTASY รับฟังเพื่อการต่อยอดผลงานในอนาคต คงเป็นเรื่องของการเล่นกับโสตประสาทของผู้ชม เพราะตามที่กล่าวไปข้างต้นว่าศิลปะนั้นเป็นเครื่องมือที่สามารถทำงานกับอารมณ์ของมนุษย์ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ดังนั้นนอกจากการรับรู้ผ่านการมองเห็นแล้ว การทำงานในเรื่องของเสียงก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจหากจะนำมาใช้ในการพัฒนาหนังสั้นเรื่องนี้ ซึ่งเข้าใจว่าผู้สร้างต้องการเล่นกับภาวะ Silent ที่จะช่วยเปิดโอกาสให้ผู้ชมได้ลองฟังเสียงในหัวของตัวเองได้อย่างชัดเจน และก็ถือว่าทำได้ดีเลยทีเดียว แต่ภาวะ Silent นั้นหากถูกนำมาใช้เป็นระยะเวลายาวนานจนเกินไปก็อาจจะทำให้ผู้ชมเกิดความเบื่อหน่ายได้ ดังนั้นแล้วหากได้มีโอกาสพัฒนาชิ้นงานนี้ต่อไป อยากให้ผู้สร้างลองฝึกการเล่นจังหวะของเสียงและความเงียบ เพื่อทำให้ชิ้นงานชิ้นนี้สามารถทำงานกับอารมณ์ของผู้ชมได้มากยิ่งขึ้น
GLIMSE OF ECSTASY เป็นงานที่ถือว่าสามารถสร้างความแปลกใจเป็นอย่างมาก เพราะไม่คาดคิดว่าเราจะได้มาพบกับชิ้นงานที่มีความ Artistic ได้ขนาดนี้ นอกจากนี้ผู้สร้างยังมีความกล้าหาญที่จะทำชิ้นงานที่ฉีกแนวออกไปจากทุกคน เพราะงานแนวทดลองหรือ Experimental นั้น ไม่ใช่งานที่จะสามารถทำกันได้ง่ายๆ และค่อนข้างมีความสุ่มเสี่ยงในการสร้างความเข้าใจผิดในแนวคิดของผู้สร้าง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องอาศัยกระบวนการคิดที่รอบคอบ แต่ผู้สร้างนั้นก็ได้ทดลองทำออกมาและส่งเข้ามาประกวด และผลก็เป็นไปตามที่กล่าวไปข้างต้น ดังนั้นแล้ว GLIMSE OF ECSTASY ในความคิดเห็นส่วนตัวของนั้น ถือได้ว่าเป็นงานศิลปะชิ้นหนึ่งที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างมากและควรค่าแก่การนำไปพัฒนาต่อไป