เชื่อว่าทุกคนล้วนมีประสบการณ์ร่วมเมื่อเกิดอาการแแอบรักใครซักคน โดยไม่รู้ตัว ยิ่งความแอบรักนั้นห่างไกลจากความสุขสมหวังก็ยิ่งเป็นประสบการณ์ unversal ที่คนนับล้านเคยมีร่วมกัน เช่นเดียวกัน ในโลกภาพยนตร์เองก็ไม่พ้นกับคำว่า art imitates life หรืองานศิลปะที่ลอกเลียนมาจากชีวิตจริง ทำให้มีหนังจำนวนไม่น้อยที่เล่าถึงประสบการณ์แอบรัก โดยที่อีกฝ่ายแทบจะไม่รับรู้
ทว่า หากใส่ tag ให้กับหนังว่า เป็นการแอบรักเพศเดียวกัน การจำกัดวงก็จะแคบลงมา และ Crayon/กลับบ้าน ก็เล่นกับประเด็นนี้ โดยหนังสั้นความยาวครึ่งชั่วโมง เล่าถึง ท้องฟ้า กับ เพลิน ที่ได้มาทำความรู้จักกัน หลังท้องฟ้าขอเข้าทีมเต้นโคฟเวอร์กับเพลิน ทั้งสองคนเดินทางไปห้องซ้อมเต้นด้วยกัน ได้ทำความรู้จัก และใช้เวลาอยู่ด้วยกัน มิตรภาพระหว่างสองสาว จึงค่อยๆ ผลิบาน ฉากเปิดเรื่องเป็นการแข่งแชร์บอลของนักเรียนหญิง ไม่มีใครส่งบอลให้ท้องฟ้า มีแต่เพลินที่ส่งให้ เป็นการทำให้คนดูได้ทำรู้จักตัวละครทั้งคู่ ซึ่งหนังพยายามใส่จุดเด่นให้เพลินเพื่อให้คนดูจำเธอได้ แต่ฉากท้องฟ้ามีเลือดกำเดา หนังนั้นได้ทิ้งปมให้คนดูตั้งคำถามและคงความสงสัยต่อไปในฉากถัด ๆ มา
อย่างไรก็ตาม ชอบตรงที่หนังทำให้เห็นความแตกต่างตอนท้องฟ้าไม่ยอมรับแก้วน้ำหวานจากเด็กหนุ่มที่เข้ามาขอไอจีเธอ แต่ยอมรับแก้วน้ำหวานจากเพลิน กับฉากยืนรอรถกลับบ้านในตอนจบ ที่หนังสื่อให้เห็นความอึดอัดและโหยหาของทั้งสองคน ผ่านท่าทาง สายตา และคำพูด ท้องฟ้าเหมือนมีอะไรอยากจะบอกกับเพลิน ทั้งสองยืนมองกันและกันอยู่พักใหญ่ ซึ่งสุดท้ายท้องฟ้าก็ไม่พูดและหันไปอีกทาง แต่หนังทำให้คนดูเดาได้ว่าเรื่องที่ท้องฟ้าอยากจะพูดกับเพลินคืออะไร
หนังยังพาคนดูไปสัมผัสบรรยากาศในชีวิตประจำวันของเด็กนักเรียนมัธยม ทั้งการถักเปียให้เพื่อน ได้เห็นเด็กๆ รวมกลุ่มกันทำกิจกรรมทั้งเตะบอล เต้นโคฟเวอร์ เสียดายอยู่หน่อยตรงหนังอุตส่าห์ปูเรื่องกิจกรรมเต้นโคฟเวอร์บนเวที และให้เห็นบรรยากาศการฝึกซ้อมในห้องซ้อม แต่กลับไม่มีฉากขึ้นแสดงเต้นโคฟเวอร์บนเวทีในวันจริงของเพื่อนกลุ่มนี้
สำหรับคำว่า กลับบ้าน โยงให้นึกถึงฉากสำคัญที่เกิดขึ้น ขณะทั้งคู่กำลังจะกลับบ้านจริงๆ แม้คำว่า Crayon จะไม่ได้ช่วยอธิบายว่าหนังเสนออะไร ทั้งนี้ Crayon มีความหมายแสลงเป็นคำด่าทอคนที่มีพัฒนาการเรียนรู้ช้า เช่น การพูดว่า กินดินสอสี อีกความเป็นไปได้ที่ใช้คำว่า Crayon อาจจะสื่อถึงความมีหลายสี แบบสัญลักษณ์ของชาว LGBTQ+
สำหรับการแสดงของท้องฟ้า ตัวละครเองมีปมที่ขัดแย้งกันหลายจุด ทำให้ดูเหมือนคนที่ยังหาตัวตนไม่เจอ เลยมีบุคลิกเก็บตัว ขณะเดียวกันก็มีไอจี และชอบเต้นโคฟเวอร์ลงช่องตัวเอง ในช่วงท้าย หนังได้ปรับบุคคลิกท้องฟ้าจากในตอนเปิดเรื่องให้สดใสขึ้นบ้าง
หนังโดยรวมดูเพลิน เล่าเนื้อหาดูแล้วเข้าใจได้ดี การแสดงของเพลินดูสดใสเป็นธรรมชาติ ทั้งนี้ตัวละครทั้งเพลินและท้องฟ้ามีเคมีความเข้ากันระหว่างเข้าบท เหมือนด้านตรงข้าม เพราะขณะที่คนหนึ่งยิ้มแย้มคุยเก่ง และมีบุคลิกเปิดเผย อีกคนจะขรึมๆ พูดน้อยกว่า และเก็บตัว จึงเป็นความต่างที่ลงตัว เพิ่มความหลากหลายของตัวละครให้กับหนัง
หากสามารถที่จะใส่ประเด็นให้เข้มข้นขึ้นอีกสักหน่อย จะช่วยสร้างสถานการณ์ conflict และปมขัดแย้งเพิ่มขึ้น นอกจากปมปัญหาที่เพลินมีแฟนผู้ชาย กับเรื่องบ้านอยู่ไกล กลับบ้านลำบาก ก็จะยิ่งช่วยให้หนังไปไม่ถึง point of no return
ความจริงแล้ว การแอบรักเป็นประเด็นละเอียดอ่อน ยิ่งการแอบรักเพศเดียวกัน ยิ่งละเอียดอ่อนแบบตะโกน Crayon ทำให้เราได้สัมผัสความ delicate ในสถานการณ์ของตัวละครทั้งสอง จุดนี้นับว่าทำได้ดี ตัวอย่างของงานที่สื่อถึงความละเอียดอ่อน และทำออกมาดีจนกลายเป็นงานขึ้นหิ้ง คือซีรีส์สัตว์ประหลาดไซไฟยุค 80 Stranger Things ซีซั่น 4 ในฉากที่ตัวละคร วิล ซึ่งเป็นเกย์และแอบรัก ไมค์ เพื่อนสนิทของตัวเอง ได้สารภาพรักแบบอ้อมๆ กับ ไมค์ ในรถแวน ขณะทั้งคู่กำลังเดินทางไกลข้ามรัฐ วิล บอกว่า ไมค์คือหัวใจ หากไม่มีหัวใจ ทุกคนย่อมแตกสลาย แล้ววิลก็หันหน้าออกนอกหน้าต่างเพื่อร้องไห้เงียบๆ โดยมีแค่คนดูกับพี่ชายเขาเท่านั้นที่ได้เห็นความแตกสลายนี้
ฉากดังกล่าวใช้เวลาเพียงแค่สองนาทีเศษ แต่กลับสร้างอิมแพคมหาศาลให้กับความรู้สึกคนดู นั่นเป็นเพราะตัวซีรีส์ปู conflict ให้ วิล มาตลอดซีซั่น จนเชื่อว่าหลายคนที่ได้ดูฉากนี้ ต่อให้มีความคิดอย่างไร ขอเพียงยังมีหัวใจอยู่ ก็ย่อมต้องเศร้าและเผลอร้องไห้ตามตัวละครวิลอย่างแน่นอน