[fuse. Review] – เปื้อนยิ้ม (กัญฐ์จนพร กาญจนพิมล)

Best Performance Nominees ระดับอุดมศึกษาหรือเทียบเท่า fuse. KIDS Film Festival 2023

*มีการเปิดเผยเนื้อหาและตอนสำคัญ

เด็กหญิงวัย 10 ปี ชื่อ “ขนมผิง” เด็กที่เติบโตในเมืองกรุงถูกแม่พากลับมาบ้านยายที่ชนบทห่างไกลเมืองในช่วงปิดเทอม ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวนั้นแปลกใหม่ แต่ความเป็นกันเองและท่าทางดูใจดีของคุณยายทำให้ขนมผิงเปิดใจใช้ชีวิตอย่างเด็กนอกเมือง ขนมผิงได้รู้จักเพื่อนใหม่ “แอน” เด็กลูกครึ่งวัยไล่เลี่ยกันที่อาศัยอยู่กับตาสองคน แม้ทั้งคู่จะนิสัยต่างกันแต่ก็กลายมาเป็นเพื่อนสนิทเล่นด้วยกันอย่างสนุกสนาน จนกระทั่งขนมผิงพบความจริงที่ว่าพ่อกับแม่หย่าร้างกัน ขนมผิงจะต้องอยู่กับแม่ที่บ้านยาย

เนื้อเรื่องทั้งหมดของ “เปื้อนยิ้ม” เริ่มต้นและจบลงในท้องถิ่น สักแห่งหนึ่งของภาคอีสานในประเทศไทย ซึ่งในหนังสั้นเรื่องนี้ได้นิยามว่าเป็นดินแดนหรือโลกของความสัมพันธ์แบบผู้หญิง ห่างไกลจากโลกกรุงเทพฯ ที่ถูกครอบงำด้วยผู้ชาย

เด็กหญิงขนมผิงได้ก้าวเข้ามาสู่โลกใหม่ โดยไม่มีพ่อมาด้วย และเป็นโลกใหม่ที่แปลกแยกจากโลกที่เธอคุ้นเคยมาแต่กำเนิด เมื่อแม่พาเธอกลับมาที่บ้านยาย ซึ่งก็เป็นบ้านเกิดของแม่นั่นเอง เธอได้โอกาสสานสัมพันธ์กับยาย ผู้หญิงต่างรุ่น และเพื่อนใหม่ “แอน” สหายหญิงร่วมรุ่น ผู้หญิงทั้งสองพาขนมผิงเข้าสู่โลกใหม่ผ่านการสนทนาภาษาถิ่น ขนมผิงต้องเรียนรู้ภาษาถิ่นเพื่อให้เข้าใจ และสื่อสารกับคนรอบข้างได้ การเรียนรู้ภาษาใหม่เท่ากับการเรียนรู้โลกใหม่ไปด้วย โดยเธอหาได้รู้มาก่อนว่า จำต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ตลอดไป ไม่อาจกลับไปยัง “บ้าน” ที่กรุงเทพฯ ของเธอได้อีกแล้ว

ยายซึ่งคงรับทราบความเป็นไปของลูกสาว หรือแม่ของขนมผิง ยินดีเป็นอย่างมากที่ลูกสาวพาหลานสาวกลับมาอยู่ร่วมบ้าน และเป็นบ้านที่ประกอบด้วยสายสัมพันธ์ทางสายเลือดของเพศหญิงเท่านั้น นั่นคือ ยาย-แม่-ขนมผิง ในบ้านหลังนี้กำลังหยิบยื่นครอบครัวในอีกนิยามหนึ่งให้กับเด็กน้อย

เมื่อยายของขนมผิงถามถึง “ปู่” กับ “ย่า” ซึ่งเป็นญาติฝ่ายบิดาหรือ “ป๊า” ของเด็กหญิง ว่าทั้งคู่เอ็นดูเด็กน้อยคนดีของยายหรือไม่ ขนมผิงย้อนกับไปว่า “อากง” กับ “อาม่า” ค่อนข้างดุ

ครอบครัวของพ่อนั้นตั้งถิ่นฐานยังกรุงเทพฯ ดำรงวิถีชีวิตคนเมือง และยังเป็นชนชั้นกลางเชื้อสายจีน ที่พยายามแสดงรากเหง้าว่าเป็นไทย หลานสาวคนนี้จึงมีชื่อเป็นไทย ๆ ว่า “ขนมผิง” แม้จะมีข้ออ้างว่าแม่ตอนแพ้ท้องชอบกินขนมผิงก็ตามที ความพยายามแสดงรากเหง้าดังกล่าว ดูเหมือนจะแตกต่างไปจากเพื่อนใหม่ที่เป็นลูกครึ่งวัยเดียวกันของขนมผิง ชื่อของเธอเปิดเผยว่ามีต้นสาแหรกมาจากฝรั่ง อย่างตรงไปตรงมาว่า “แอน” ทั้งที่เด็กหญิงคนนี้พูดจาภาษาถิ่น อาศัยอยู่กับตา ซ้ำร้ายยังไม่เคยเจอหน้าพ่อมาก่อนเลย

เมื่อขนมผิงรู้ความจริงแล้วว่า “ป๊า” กับแม่แยกทางกัน เธอหมดโอกาสที่จะกลับคืนสู่โลกเดิมที่กรุงเทพฯ เสียแล้ว ความผูกพันระหว่างเธอกับป๊าในฐานะที่เป็น “ลูกพ่อ” ย่อมห่างหายจากกันตามไปด้วย ทั้งที่ปัญหาชีวิตอันเป็นต้นเหตุนั่นเกิดจากพ่อและแม่ เธอกับ “ป๊า” ไม่ได้ดีปัญหากัน แถมยังรักและเข้าใจกันดี

เมื่อจู่ ๆ โลกของเธอแตกสลาย ความเศร้าระคนแค้นใจจึงเกิดขึ้น เกินกว่าวัยของเด็กหญิงจะเข้าใจได้ง่าย ๆ แต่เธอก็หารู้ไม่ว่า ตัวเองกำลังประกอบสร้างความสัมพันธ์กับโลกในวันข้างหน้าของตัวเอง ซึ่งเป็นโลกในท้องถิ่น ห่างไกลจากกรุงเทพฯ และยังเป็นโลกของผู้หญิง หรือโลกของท้องถิ่น โดยที่เธอไม่รู้ตัว

ยายของขนมผิงซึ่งดีใจที่ลูกสาวและหลานสาวกลับมาอยู่บ้าน ชอบขับลำกลอนในภาษาถิ่นอันไพเราะ เด็กหญิงขนมผิงซึมซับคำกลอนทีละเล็กละน้อย สามารถขับคลอตามไปด้วย ส่วนเพื่อนใหม่อย่างแอนก็ชอบชักชวนเธอออกไปเล่น กลางทุ่งนาและใต้ต้นไม้ใหญ่ ด้วยการละเล่นขายข้าวขายของที่เด็กกรุงเทพฯ ไม่เคยมาก่อน ทั้งหมดนี้ปฏิบัติการผ่านภาษาถิ่น

ขนมผิงจึงค่อย ๆ ถ่ายโอนความสัมพันธ์จาก “ป๊า” อันสะท้อนผ่านสมุดวาดเขียนและดินสอสี มาสู่โลกใหม่ที่เป็นโลกจริงของท้องถิ่น ที่สานสัมพันธ์กันโดยผู้หญิงชนบท แบบซึมซ่านผ่านจิตใต้สำนึก

แต่ในระดับปรากฎการณ์ที่เป็นจุดแตกหักระหว่างขนมผิงกับโลกเก่าของตัวเอง หรือโลกของผู้ชายที่กรุงเทพฯ เกิดขึ้นเมื่อเด็กน้อยแอนดีใจที่จะได้เล่นกับขนมผิงต่อไป เพราะไม่ต้องกลับกรุงเทพฯ แล้ว แต่ขนมผิงกลับเคืองแอน หาว่าเพื่อนดีใจได้อย่างไรทั้งที่ “ครอบครัว” ของเธอแตกแยก

อุดมคติว่าด้วยครอบครัวฝังอยู่ในสำนึกของขนมผิง ว่าชีวิตครอบครัวต้องประกอบด้วยความสัมพันธ์พ่อ-แม่-ลูกพร้อมหน้า ภายในบ้านหลังเดียวกัน แต่สำนึกดังกล่าวไม่มีในท้องถิ่น ไม่มีในดินแดนห่างไกลจากกรุงเทพฯ และไม่มีในสำนึกของแอน สาวน้อยลูกครึ่งทบทวนชีวิตของเธอว่า ตัวเองก็ไม่เคยได้เห็นหน้าพ่อ อยู่แต่กับตา ตาซึ่งก็คือพ่อของแม่หรือเป็นญาติฝ่ายแม่ ก็รักเราเหมือนกัน

แอนเติบโตมาในโลกที่ไม่มีครอบครัวตามอุดมคติ แต่ในสายตาของขนมผิงแล้ว แอนเป็นแค่เด็กที่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง หรือเป็นชีวิตที่ไม่สมบูรณ์ตามนิยามของโลกเก่า ความขัดแย้งครั้งนี้ทำให้เด็กน้อยทั้งสองขัดเคืองใจกัน

แต่สุดท้ายแล้ว แอนก็หันมาคืนดีกับขนมผิง โลกใหม่ที่ผู้หญิงต่างรุ่น ไม่ว่าจะยายหรือแม่ รวมทั้งผู้หญิงร่วมรุ่นอย่างแอน กำลังโอบกอดและต้อนรับขนมผิง ให้เธอเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยรอยยิ้ม

ในฉากสุดท้าย ขนมผิงก้าวลงจากเรือนโดยสอดเท้าเข้าไปยังรองเท้าคู่ใหม่ ที่แม่เพิ่งจะซื้อให้ โดยปฏิเสธรองเท้าของพ่อที่วางอยู่เคียงข้าง ทั้งที่เธอเห็นว่ามันยังใช้งานได้ดี รองเท้าคืออาภรณ์ล่างสุดของร่างกาย และเป็นสื่อกลางระหว่างพื้นดินกับฝ่าเท้า รองเท้าคู่ใหม่ของแม่ได้เริ่มต้นทำหน้า โดยย่ำลงบนพื้นดินถิ่นฐานที่เป็นของแม่หรือผู้หญิง รองเท้าที่สัมผัสกับพื้นดินก็ไม่ต่างจากรากของต้นไม้ ที่เป็นฉากหลังของเด็กหญิงทั้งสองระหว่างเล่นสนุกกัน เธอจะได้ปักหลักและยืนหยัดในโลกใบนี้ได้อย่างมั่นคง