หนังเปิดเรื่องด้วยการเล่นของเหนือ เด็กชายวัยกำลังซน มีฉากหลังเป็นบ้านครอบครัวคนจีน ที่อาศัยอยู่กันหลายคนภายในบ้านหลังเดียวเป็นครอบครัวใหญ่ เด็กชายเหนือกำลังเล่นกลสมมุติกับนัท พี่ชาย ให้ตัวเองล่องหนหายตัวภายใต้ผ้าคลุมมหัศจรรย์ ซึ่งหลังร่ายคาถาใส่ผ้าคลุม สมาชิกคนอื่นๆ ในบ้าน ก็ร่วมเล่นด้วย โดยพากันแกล้งว่าไม่มีใครมองเห็นตัวเหนือ หลังเล่นจบตาของตัวเอง เหนือก็มองหาใครคนใหม่ให้เข้ามาอยู่ในผ้าคลุมมหัศจรรย์ของเขาต่อ เพื่อร่ายมนต์ให้คนๆ นั้นหายไป
และผู้โชคดีคนนั้นก็คือแนน พี่สาววัยรุ่นของเหนือ ทว่าหลังเหนือร่ายคาถาใส่ผ้าคลุมมหัศจรรย์ แนนกลับหายตัวล่องหนไปจริงๆ
หนังไม่ได้ให้ข้อมูลต่อว่าเกิดอะไรขึ้นกับแนนกันแน่ หรือบอกคนดูว่าแนนหายตัวไปได้อย่างไร หรือสร้างเงื่อนไขในการหายตัว หรือแม้แต่วิธีทำให้แนนกลับมา หนังเล่าแค่เพียงแนนหายไป ไม่มีใครมองเห็นอีก ในช่วงแรกที่แนนหายไปภายใต้ผ้าคลุมมหัศจรรย์ ทุกคนในบ้านต่างพากันออกเดินหาตัวเธอตามห้องหับของบ้าน กระทั่งค้นพบว่า แนนได้หายไปแบบที่กลายเป็นมนุษย์ล่องหนจริงๆ ไม่ใช่ล่องหนสมมุติแบบที่เหนือเป็น
ความพิเศษของ The Curtain ที่สร้างความแตกต่างกับหนังเรื่องอื่นในทำนองเดียวกันอยู่ตรงที่ หนังไม่ได้พาคนดูไปหาคำตอบ ว่าอะไรคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับแนน หรือให้พยายามหาตรรกะหรือเงื่อนไขใดมาไขความกระจ่างให้กับปรากฏการณ์ในเรื่องที่หาคำอธิบายไม่ได้ แต่หนังหันไปเล่าถึงสมาชิกคนอื่นๆ ของบ้าน พร้อมแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในบ้าน ที่กำลังนั่งคุยกันด้วยประเด็นความเชื่อด้านสุขภาพของคนสูงวัย ที่มีแต่เชื่อกันต่อๆ มา ด้วยวิธีการรักษาสุขภาพแบบแปลกๆ โดยปราศจากหลักการทางการแพทย์หรือวิทยาศาสตร์รองรับ ไม่ว่าจะเป็นการบริโภคน้ำหมักป้าเช็งที่เชื่อว่ารักษาได้ทุกโรคแบบครอบจักรวาล หรือวิธีการล้างลำไส้ ด้วยการสวนทวาร เป็นต้น เหมือนเป็นการยั่วล้อกับปรากฏการณ์ของแนนที่หาทั้งเหตุผลและคำอธิบายไม่ได้
การที่หนังหักมาเล่าเรื่องความสัมพันธ์ของสมาชิกครอบครัวแต่ละคน ทำให้เราเพิ่มได้รู้ว่า แนนมีสถานะอะไรของบ้านหลังนี้ในช่วงเวลาที่เธอยังไม่ได้หายตัวไป การที่แม่นึกถึงเธอตอนทำจานแตก หรือตอนที่ย่านึกถึงตอนเธอทำกับข้าว บอกคนดูว่าสถานะของแนนในบ้านหลังนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่มาตั้งแต่แรก
ตัวละครอื่นๆ หลังรู้ว่าแนนกลายเป็นมนุษย์ล่องหน นอกจากท่าทีตกใจในตอนค้นพบครั้งแรก ก็ไม่ได้มีปฏิกริยาเป็นเดือดเป็นร้อนอะไรอีกกับความไม่ปกตินี้นี้ ทั้งยังไม่ได้พยายามคิดหาวิธีให้แนนกลับมาแบบจริงๆ จังๆ มีเพียงถามกันในวงโต๊ะกินข้าวว่า ‘พาไปโรงพยาบาลไม่ดีหรอ’ เท่านั้น ทำเหมือนแนนแค่เป็นหวัด เดี๋ยวก็หายเอง ยกเว้นตัวละครย่าเท่านั้นที่นั่งเศร้าเพราะคิดถึงหลานสาว
ในโลกภาพยนตร์มีหนังหลายเรื่องที่เล่นกับประเด็นละเล่นกับจินตนาการของเด็ก ที่กลายเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา หนึ่งในหนังที่จะมองข้ามไม่ได้คือภาพยนตร์ฟอร์มเล็ก ปี 2014 หนังสยองขวัญจิตวิทยาสัญชาติออสเตรเลียขวัญใจนักวิจารณ์ เรื่อง The Babadook ของผู้กำกับ Jennifer Kent เล่าถึงสองแม่ลูกที่ได้อ่านหนังสือนิทานภาพสำหรับเด็ก ที่ชื่อ Mister Babadook กระทั่งรู้สึกได้ว่า ทั้งสองคนกำลังถูก Babadook ปีศาจจากหนังสือเล่มนั้นออกมาหลอกหลอนในบ้านพวกเขาเอง
เช่นเดียวกับ The Curtain หนัง The Babadook เองก็ไม่ได้อธิบายไขข้อสงสัย หรือให้คำตอบที่ชัดเจนแก่คนดูว่าสิ่งที่สองแม่ลูกกำลังเผชิญอยู่คืออะไรแน่ เรื่องทั้งหมดเป็นเพียงอุปทานหมู่ร่วมของทั้งคู่ หรือเป็นผลพวงมาจากอาการโรคซึมเศร้า ที่ดำดิ่งลงเรื่อยๆ ของผู้เป็นแม่ หรือปีศาจ Babadook ออกมาจากหนังสือได้จริงๆ ตัวหนังทำให้คนดูได้แต่สงสัยในเส้นคาบเกี่ยวระหว่างโลกจริงกับโลกในจินตนาการอยู่เกือบทั้งเรื่อง โดยไม่ได้มีข้อสรุปหรือขยายความเพิ่ม
The Babadook มีฉากส่วนใหญ่อยู่ในบ้าน งานภาพของหนังจึงเล่นกับแสงและเงา ให้ความรู้สึกถึงบรรยากาศไม่น่าไว้วางใจ ประกอบเสียงซาวด์ที่เพิ่มความอันตรายให้กับทุกๆ พื้นที่ในตัวบ้าน และไม่ได้โชว์ให้เราได้เห็นตัวปีศาจ Babadook ชัดๆ แต่ซ่อนมันเอาไว้ในเงามืด หรือให้เห็นเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น
ในขณะที่ The Curtain ใช้งานด้านภาพแบบโฮมวีดีโอ ที่ให้ความรู้สึกเหมือนคนในบ้านถ่ายเล่นกันเอง การเคลื่อนไหวของกล้องจึงเหมือนกับถ่ายทำด้วยกล้อง handheld อยู่เกือบตลอดเรื่อง มีช่วงที่ตั้งกล้องนิ่งๆ เพื่อถ่ายหน้าห้องนอน โดยใช้มุมกล้องถ่ายจากล่างขึ้นบน ให้ได้เห็นภาพมุมกว้างของพื้นพรมสีแดง ตัดกับผนังสีขาวและประตูสีน้ำตาลไหม้ ทำให้นึกถึงทางเดินภายใน Overlook Hotel จากเรื่อง The Shinning นอกจากนี้ก็มีการเล่นกับแสงและเงา โดยใช้โทนสีส้มตามแสงหลอดไฟของบ้าน มีบางช่วงมืดสนิท มีเพียงเสียงบทสนทนาของตัวละครบอกให้เรารู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น
บรรยากาศภายในบ้านหลังแนนหายตัว ถูกถ่ายทอดออกมาให้ความรู้สึกลึกลับ เป็นปริศนา และไม่น่าไว้วางใจ ปูไปสู่ช่วง 10 นาทีท้ายของเรื่อง ที่ the Curtain ให้คำตอบว่าทำไมหนังถึงใช้ชื่อว่า The Curtain เมื่อเหนือเดินเข้าห้องน้ำกลางดึก แต่พบว่าหลังม่านห้องน้ำ มีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ เหนือจึงไปปลุกย่ามาเข้าห้องน้ำเป็นเพื่อน ตอนนั้นเอง ย่าได้เดินไปที่ม่านห้องน้ำ และคว้าเอาร่างล่องหนของแนนหลังผ้าม่านเข้ามาไว้ในอ้อมกอด
ในฉากสุดท้าย ย่าจึงได้กอดหลานสาวที่หายไปอีกครั้งผ่านผ้าม่านห้องน้ำ เพราะทั้งสองคนไม่สามารถสัมผัสตัวกันได้ในแบบเดิมอีกแล้ว ตรงนี้เองที่หนังหักจากความลึกลับ เกือบๆ จะสยองขวัญ มาเป็นความเศร้าซึ้งของการจากกันระหว่างย่าหลาน ที่มีระยะห่างเป็นสิ่งที่อธิบายไม่ได้
หนังไม่ได้คลี่คลาย หรือพยายามคลี่คลายปริศนา หรือแม้แต่เฉลยที่มาที่ไปของการหายตัวไปแบบมนุษย์ล่องหนของแนน มีเพียงการแสดงความรักระหว่างเธอกับย่าทิ้งไว้ให้คนดู