โดยธรรมชาติของมนุษย์ เราถูกปลูกฝังให้มีความกลัวต่อสิ่งที่มีแนวโน้มว่าเป็นภัย หรืออาจก่ออันตรายให้กับเราได้ เป็นต้นว่า ความมืด สุนัขดุ เวลากลางคืน คนแปลกหน้า สัตว์หรือแมลงมีพิษ ฯลฯ แต่เราไม่ได้ถูกสอนให้หวาดกลัวต่อสิ่งที่คุ้นเคย สิ่งที่รู้จักเป็นอย่างดี หรือสิ่งที่พบเห็นอยู่ทุกวัน เช่น เราจะหวาดกลัวต่อเหตุการณ์เครื่องบินตกมากกว่าอุบัติเหตุบนท้องถนน ทั้งๆ ที่เครื่องบินตกหลายปีครั้ง ขณะที่อุบัติเหตุบนท้องถนนเกิดขึ้นทุกวัน เป็นต้น
จากสถิติ บุคคลที่มีอันตรายและก่ออาชญกรรมได้สำเร็จส่วนใหญ่จึงมักเป็นคนใกล้ตัว หรือคนที่รู้จักคุ้นเคยกับเหยื่อเป็นอย่างดี นั่นเพราะเหยื่อไม่ได้ระมัดระวังตัวเมื่ออยู่ใกล้ๆ บุคคลเหล่านี้ ในประเทศสหรัฐอเมริกา ทุกครั้งที่เกิดคดีอาชญากรรม และไม่สามารถจับกุมผู้ก่อเหตุได้ทันที ผู้ต้องสงสัยรายแรกที่จะถูกตำรวจสอบสวนก่อน จึงเป็นสามีหรือภรรยาของเหยื่อ หรือในกรณีที่เหยื่ออายุยังน้อย ตำรวจก็จะสอบสวนผู้ปกครองก่อนเป็นอันดับแรก
ในโลกภาพยนตร์ก็มีหนังหลายเรื่องที่เล่าถึงบุคคลใกล้ชิด คนคุ้นเคย หรือแม้แต่เพื่อนรักที่กลายเป็นภัยร้าย โดยพล็อตเรื่องของผู้ตกเป็นเหยื่อ โดยไม่ทันระวังคนคุ้นเคย หรือเพื่อนของตัวเองเท่ากับคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จัก เป็นพล็อตที่ถูกนำมาดัดแปลงเป็นหนังมากมายหลายเรื่องตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ไล่มาตั้งแต่หนังเพื่อนบ้านมหาภัย Rosemary’s Baby งานขึ้นหิ้งปี 1968 ของผู้กำกับ Roman Polanski เล่าถึงหญิงสาวที่ถูกเพื่อนบ้านร่วมกันวางแผนและคุกคามชีวิต เพราะต้องการอะไรบางอย่างจากเธอ หรือเฟรนไชส์หนัง Slasher สยองขวัญยอดฮิต ที่ยืนยาวมาตั้งแต่ยุค 90 อย่าง Scream ก็เปิดภาคแรกด้วยการหักมุมว่า แท้จริงแล้วแฟนหนุ่มของนางเอกกับเพื่อนซี้ของเขา เป็นฆาตกรในหน้ากากผี
ในหนังหลายเรื่องก็ทำให้เห็นว่าตัวละครสามีหรือภรรยาเป็นภัยคุกคามกับคู่ชีวิต เช่น A Perfect Murder (1998) ที่สร้างจากหนังต้นฉบับ Dial M For Murder (1954) ของปรมาจารย์ภาพยนตร์ Alfred Hitchcock เล่าเรื่องสามีว่าจ้างชู้รักของภรรยา ให้ฆ่าภรรยา ด้วยแผนการอันซับซ้อน, What Lies Neneath หนังปี 2000 นางเอกถูกวิญญาณหญิงสาวลึกลับตามหลอน กระทั่งพบความจริงว่าสามีตัวเองเป็นฆาตรกร, Double Jeopardy ปี 1999 นางเอกถูกสามีตัวเองใส่ความว่าวางแผนฆ่าเขา จนต้องติดคุก
ในหนังอาชญกรรมดีกรีรางวัลออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม The Silence of the Lambs ที่เล่าถึงเอฟบีไอฝึกหัดออกตามล่าฆาตกรต่อเนื่อง ฉายา Buffalo Bill เหยื่อรายแรกของ Buffalo Bill ก็เป็นหญิงสาวร่วมอาชีพกับ Buffalo Bill ที่รู้จักกับเขาเป็นอย่างดี หรือในเรื่อง Gone Baby Gone หนังอาชญกรรมปี 2007 ของนักแสดงและผู้กำกับ Ben Affleck ก็เล่าเรื่องนักสืบเอกชนถูกว่าจ้างให้ตามหาตัวเด็กสามขวบที่หายตัวไป สุดท้ายก็สืบได้ว่าผู้ที่ลักพาตัวเด็กไปคือลุงแท้ๆ ของเด็กเอง
จะเห็นได้ว่าหนังอาชญากรรมที่หักมุมว่าผู้ร้ายคือคนใกล้ชิดเหยื่อ มักจะเป็นหนังที่เปิดโอกาสให้ผู้กำกับได้แสดงฝีมือ ใส่เล่าเรื่องอันจัดจ้าน และทำให้หลายเรื่องไปไกลถึงเวทีออสการ์ เพราะเป็นหนังที่เปิดพื้นที่สำหรับความซับซ้อนให้กับการก่ออาชญากรรมเหล่านั้นได้อย่างไม่รู้จบ
After Sunset ปูเรื่องมาด้วยการรายงานข่าวภาคเช้า ที่เล่าถึงหญิงสาวหลายรายตกเป็นเหยื่อของคนร้ายโรคจิตที่คอยแอบตามหญิงสาวเหล่านั้นในยามวิกาล ก่อนจะเริ่มเล่าด้วยเส้นทางกลับจากโรงเรียนของ แสนดี ในซอยแห่งหนึ่ง ซึ่งเธออาศัยอยู่คนเดียวและต้องเดินทางกลับในยามค่ำคืนทุกวัน ก่อนที่หนังจะแนะนำให้รู้จัก ซันนี่ เพื่อนของเธอ ที่มาเดินกลับบ้านเป็นเพื่อนในวันหนึ่ง หากสังเกตุดีๆ จะพบว่า ซันนี่ เข้ามาถามแสนดีว่าเธออาศัยอยู่ที่ไหนและอยู่กับใครบ้าง ซึ่งมันคือคำถามที่เอาไว้เช็คให้แน่ใจว่าเหยื่อมีคนอยู่ด้วย หรืออยู่บ้านเพียงลำพัง
นั่นทำให้ แสนดี ที่ไม่ทันระวังตัว ได้ตอบคำถามซันนี่ ที่เป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนของเธอไปอย่างจริงใจ ว่าเธอมาจากต่างจังหวัดจึงอาศัยอยู่คนเดียว พร้อมทั้งบอกที่อยู่ของเธอให้ซันนี่ได้รู้ จากนั้นในวันถัดๆ ไป ทุกครั้งที่แสนดีเดินกลับบ้าน ก็มักจะรู้สึกเหมือนมีใครบางคนคอยติดตามอยู่เสมอ
ฉากที่ แสนดี เดินกลับบ้าน ควรจะมืดและเปลี่ยวแบบไม่มีบ้านคน หรือมีบ้านน้อยกว่านี้ หรือเป็นย่านที่ไม่มีคนอยู่อาศัย จะช่วยเพิ่มความรู้สึกไม่ปลอดภัยมากขึ้น และทำให้โทนของหนังมีความอันตรายขึ้น การใช้เทคนิคกล้องเคลื่อนไหวแทนสายตาของตัวละคร ถึงจะยังไม่สมบูรณ์แบบแต่ก็ทำได้ดี ช่วยเพิ่มความระทึกขวัญให้กับหนังได้
ฉากที่แสนดีหนีเข้ามากดลิฟต์รัวๆ อย่างหวาดผวาก่อนจะวิ่งเข้าห้อง อาจจะสว่างเกินไปจนไม่รู้สึกว่าตัวแสนดีกำลังตกอยู่ในอันตราย ขณะที่ฉากที่ซันนี่เข้าห้องมา และโถมตัวเข้าใส่แสนดี หนังใช้กล้องถ่ายภาพจากเงาสะท้อนบนจอโทรทัศน์ที่ดับอยู่ เป็นการจำกัดเรทหนังไม่ให้ฉูดฉาดเกินไปที่ฉลาดมาก และการตัดภาพที่ค่อยๆ เร็วขึ้นๆ ตอนซันนี่แอบอยู่หลังรถ สลับกับภาพด้านหลังของแสนดี ที่กำลังเดินกลับบ้าน ก็เพิ่มดีกรีอารมณ์ลุ้นระทึกให้กับหนังได้ดีมากเช่นกัน
ด้วยความยาวหนังเพียง 4 นาทีเศษ ถือว่าเล่าเรื่องในหนังได้กระชับ ไม่เยิ่นเย้อ แต่อาจจะใช้เวลากับฉากเดินกลับบ้าน กับฉากเล่นโทรระหว่างทางกลับบ้านของแสนดีเยอะเกินไป ควรใช้เวลานั้นปูให้เห็นฝั่งของผู้ร้ายบ้าง โดยไม่ต้องให้เห็นใบหน้าว่าเป็นใครได้หากยังต้องเก็บงำตัวร้ายไว้เป็นปริศนา เพื่อเพิ่มแรงจูงใจของผู้ร้าย เสริมให้เนื้อเรื่องโดยรวมสมเหตุสมผล
หากมองว่าเป็นก้าวแรก After Sunset ถือว่าเป็นการเริ่มต้นได้อย่างน่าสนใจ ในกรณีที่ทีมสร้างยังต้องการทำหนังแนวนี้ อาจต้องเพิ่มประสบการณ์ดูหนังแนวสืบสวน, psychological thriller, crime drama เพื่อศึกษาการทำบทหนัง และวางพล็อตเรื่อง รวมถึงการเก็บงำและเฉลยปริศนา